สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่7 ( อาการสัญญาณเตือนภัย 20 มะเร็งร้าย)



อาการสัญญาณเตือนภัย 20 มะเร็งร้าย

โรคมะเร็งคือ โรคของเซลล์ ที่มีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ กลายเป็นก้อนมะเร็ง ซึ่งสามารถบุกรุกทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียง และกระจายไปยังอวัยวะอื่นได้
เมื่อร่างกายได้รับสิ่งก่อมะเร็ง เช่น สารเคมี ไวรัสรังสี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลง และในที่สุดเซลล์ปกติก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ถ้าระบบภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถทำลายเซลล์นั้นได้ เซลล์มะเร็งก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นก้อนมะเร็งต่อไป
มะเร็งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้าตรวจพบในระยะเริ่มแรก สำหรับอาการบ่งชี้ของโรคมะเร็ง 20 ชนิด มีดังนี้
1. มะเร็งปากมดลูก
โดยทั่วไปในระยะแรก จะไม่ปรากฎอาการใดๆ แต่ในระยะต่อมาผู้ป่วยจะพบตกขาวหรือมีเลือดออกผิดปกติทาง และการตรวจพบแผลหรือก้อนที่ปากมดลูก
2. มะเร็งเต้านม
ขนาดเต้ามนมใหญ่ขึ้น เต้านมแข็ง หดตัวเล็ก หรือแบน ลงได้ หัวนมบุ๋มเข้าไป ผิวหนังบริเวณเต้านมมีลักษณะ หยาบ ขรุขระ หรือรอยบุ๋ม มีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลซึมออกมาจากหัวนม คลำพบก้อนที่รักแร้ หรือไหปลาร้า มีแผลที่ผิวหนังของเต้านม และมีแผลเรื้อรังที่หัวนม แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์ เมื่อคลำพบก้อนในเต้านม
3. มะเร็งตับ
อาการเบื่ออาหาร ท้องอืด จุกเสียด ท้องผูก ปวดแน่นท้องบริเวณด้านขวาหรือบริเวณลิ้นปี่หรืออาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ขวา อ่อนเพลีย น้ำหนักลด และมีไข้ต่ำๆ ผื่นคันตามมือเท้าและที่ผิวหนัง ปวดหรือเสียดชายโครงด้านขวา อาจปวดร้าวไปที่ไหล่หรือลำตัวซีกขวา อาจคลำพบก้อนในท้องใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่ มีอาการท้องมวน ท้องโต บวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง ตัวเหลือง ตาเหลือง และปัสสาวะสีเหลือง
4. มะเร็งปอด
ในระยะแรกไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจนไปกดหลอดลมหรือลุกลามไปสู่อวัยวะอื่น จะมีอาการไอมีเลือดออก เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย มีหน้าบวม แขนบวม เจ็บหน้าอกและหัวไหล่ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร
5. มะเร็งช่องปาก
มีอาการเป็นฝ้าขาว ฝ้าแดง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งได้ในภายหลัง เป็นตุ่มก้อนในปากที่โตขึ้นเรื่อยๆ มีก้อนที่คอ เป็นแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ ฟันโยก ฟันหลุดเนื่องมาจากเนื้องอก ใส่ฟันปลอมที่เคยใช้ไม่ได้


6. มะเร็งโพรงหลังจมูก
มีอาการหูอื้อ ก้อนที่คอ คัดจมูก เลือดกำเดา ปวดศีรษะ หน้าชา มองเห็นภาพซ้อน
7. มะเร็งกล่องเสียง
อาการคือเสียงแหบ เสียงเปลี่ยน กลืนอาหารลำบาก สำลัก เสมหะปนเลือด หายใจลำบาก และมีก้อนที่คอ
8. มะเร็งต่อมธัยรอยด์
อาการคือเนื้องอกต่อมธัยรอยด์หรือคอพอกที่โตขึ้นเร็ว ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกต่อมธัยรอยด์ร่วมกับมีเสียงแหบและกลืนสำลัก มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
9. มะเร็งถุงน้ำดีและท่อน้ำดี
มักมีอาการเหมือนถุงน้ำดีอักเสบ คือ เจ็บปวดชายโครงขวา ถุงน้ำดีโต ท้องอืด ปวดท้อง น้ำหนักลด มีไข้ หรือเป็นดีซ่าน อาการของมะเร็งท่อน้ำดีมักทำให้เกิดอาการของดีซ่าน มีไข้ ปวดท้อง
10. มะเร็งตับอ่อน
จะมีอาการแล้วแต่ตำแหน่งของมะเร็งที่พบว่า อยู่ส่วนใดของตับอ่อน มะเร็งจะพบมากที่ส่วนหัวของตับอ่อน ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการของตัวเหลือง ตาเหลือง จากการ อุดตันของท่อน้ำดีที่ตัวตับอ่อนเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจจะคลำได้ก้อนที่ท้อง ตับโต ถุงน้ำดีโต เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มะเร็งตับอ่อนที่เกิดขึ้นที่ส่วนตัวและส่วนปลายของตับอ่อน จะมีอาการของการปวดท้องรวมกับปวดหลัง น้ำหนักลด ตับโต หรือมีอาการที่เกิดจากมะเร็งกระจายไปยังที่อื่น เช่น ต่อมน้ำเหลือง ไหปลาร้า
11. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
อาการผู้ป่วยในระยะแรกไม่มีอาการใดๆ หรืออาจมีอาการปวดท้องแน่นท้องคล้ายโรคกระเพาะ เมื่อโรคเป็นมากขึ้นอาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเดิน มีลักษณะในการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป อาจมีการอุดตันของลำไส้ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือมูกปนเลือด หรือมีเลือดออกในอุจจาระเป็นเวลานาน ทำให้มีภาวะซีดได้

12. มะเร็งรังไข่
มีอาการท้องอืดเป็นประจำ มีก้อนในท้องน้อย ปวด แน่นท้อง และถ้าก้อนมะเร็งโตมากจะกดกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ส่วนปลาย ทำให้ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระลำบาก ในระยะท้ายๆอาจมีน้ำในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้นกว่าเดิม เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด
13. มะเร็งมดลูก
มีเลือดออกทาง ในสตรีวัยหมดประจำเดือน แล้ว หรือมีเลือดออกผิดปกติในสตรีที่ยังคงมีประจำเดือนอยู่
คลำพบก้อนที่บริเวณท้องน้อย ปวดท้องน้อย ปวดหลัง เนื่องจากมดลูกโตไปกดแผงประสาท
14. มะเร็งกระดูก
มีก้อนแข็งหรือปุ่มยื่นออกมาจากกระดูก ก้อนจะโตเร็ว ต่อมาจะมีอาการปวดร่วมด้วย บางรายมาด้วยอาการ กระดูกหักแตกได้ง่ายจากการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย
15. มะเร็งผิวหนัง
ส่วนใหญ่เริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือเริ่มต้นเป็นแผลเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ขรุขระ อาจมีสีดำที่ขอบๆ และเมื่อเป็นมาก จะเป็นก้อนคล้ายดอกกระหล่ำปลี มะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่มักพบที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว
16. มะเร็งต่อมลูกหมาก
มีอาการปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะเป็นเลือด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และอาจมีอาการปวดหลัง ปวดกระดูกร่วมด้วย
17. มะเร็งเม็ดเลือดขาว
มีอาการเลือดจาง ซีด หน้ามืด เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย เลือดออกง่ายบริเวณผิวหนัง เหงือก เป็นจ้ำตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต อาจพบก้อนในท้องเนื่องจาก ตับ ม้าม โต ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย มีไข้
18. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการคือต่อมน้ำเหลืองโต หรือมีก้อนที่โตเร็วไม่เจ็บบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ มีอาการปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง แผลเรื้อรังที่กระพุ้งแก้ม โพรงจมูก มีไข้สูงไม่ทราบสาเหตุ แต่อาการดังกล่าวส่วนมากไม่พบแต่เฉพาะในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเท่านั้น อาจพบในมะเร็งระบบอื่นได้เช่นกัน
19. มะเร็งและเนื้องอกในระบบประสาท
อาการของเนื้องอกในสมอง คือ ปวดศีรษะ ตามัว อาเจียน เป็นอัมพาตแขน ขา ตาบอด เดินเซ หูหนวก ชักกระตุก ความจำเสื่อม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ก้อนเนื้องอกนั้นเกิดขึ้นที่ใด และกดอวัยวะส่วนใดของสมอง อาการของเนื้องอกในไขสันหลัง คือ ปวดหลัง แขนขาชาและอ่อนแรง เดินเซ เดินไม่ถนัดหรือเป็นอัมพาต การควบคุมการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะลำบาก อาการของเนื้องอกที่ประสาทส่วนปลาย คือ คลำพบก้อนหรือรู้สึกชา หรือร่วมกับอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อาการต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจเกิดจากสาเหตุหรือโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่เนื้องอกก็ได้ จึงควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดต่อไป
20. มะเร็งทางเดินปัสสาวะ
และอวัยวะสืบพันธุ์ชาย
มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ลิ่มเลือด พบในมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและมะร็งของไต อาการปัสสาวะขัด ต้องเบ่ง หรือปัสสาวะออกกะปริบกะปรอย พบในมะเร็งของต่อมลูกหมาก มีแผลเรื้อรังชนิดเลือดออกง่ายและกลิ่นเหม็น หนังหุ้มอวัยวะเพศหรือหนังหุ้มลึงค์ไม่เปิด และมีอาการคันภายในหรือมีเม็ดที่คลำได้
บริเวณที่มีการเสียดสี มีการอักเสบไม่หาย เช่น มะเร็งถุงอัณฑะ มีก้อนคลำได้ชัดเจนบริเวณสีข้าง (บริเวณไต) หรือบริเวณ ท้องน้อยเหนือ หัวเหน่า (บริเวณกระเพาะปัสสาวะ) มีก้อนและคลำได้ที่ลูกอัณฑะ กดไม่เจ็บ และก้อนโตเร็ว ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบหรือซอกคอโต พบในรายที่มะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผอมลง ไอ ปวดกระดูก พบในระยะที่มีการกระจายของมะเร็งไปแล้ว
• การรักษา
การตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ย่อมเป็นผลดีต่อการรักษา ซึ่งวิธีการรักษานั้นมีดังนี้
1. การผ่าตัด เป็นการเอาก้อน ที่เป็นมะเร็งออกไป
2. รังสีรักษา เป็นการให้รังสีกำลังสูง เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
3. เคมีบำบัด เป็นการให้ยา (สารเคมี) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
4. ฮอร์โมนบำบัด เป็นการใช้ฮอร์โมนเพื่อหยุดการเจริญเติบโต ของเซลล์มะเร็ง
5. การรักษาแบบผสมผสาน เป็นการรักษาร่วมกันหลายวิธี ดังกล่าวข้างต้น แต่จะใช้วิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่6 (นอนงีบกี่นาที มีผลต่อสมองอย่างไร)


นอนงีบกี่นาที มีผลต่อสมองอย่างไร

Written by  
นอนงีบกี่นาที มีผลต่อสมองอย่างไร
รู้ไหมว่าการนอนด้วยระยะเวลาที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อสมองต่างกันไปด้วย มาดูกันว่าคุณควรจะนอนนานแค่ไหน กับสถานการณ์ยังไงบ้าง
Sleep Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการพักผ่อนนอนหลับ เปิดเผยว่า ระยะเวลาที่เราหลับ (หรือใช้คำว่างีบ) นั้น จะมีผลกับสมองและร่างกายของคุณแตกต่างกันออกไป ในบางกรณี คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องฝืนตื่น เพราะอาจจะงีบแค่ไม่กี่นาทีก็ได้ หรือในบางกรณี คุณอาจจะต้องการนอนหลับลึก จึงจะเหมาะสมกับกิจกรรมหรือสถานการณ์ตรงหน้า

มาเริ่มที่การงีบ แบบ 10 - 20 นาที หรือที่เรียกว่า Power nap จะเหมาะสำหรับการสร้างควาสดชื่นและเพิ่มพลังงานในกรณ๊ที่คุณกำลังทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากกว่าใช้สมองจดจำ เช่นการงีบรอเวลาไปเที่ยว หรือการนอนรอแฟนกลับบ้าน. ระยะเวลา 10 - 20 นาทีหรือ Power nap นั้นจะทำให้คุณหลับอยู่ในขั้นเบาสุดของ non-rapid eye movement (NREM) เหมือนการกดปุ่ม Pause ขณะเล่นเกมส์ ทำให้คุณสามารถตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมนั้นๆต่อได้ในทันที 

30 นาที เป็นระยะเวลาที่ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผลการวิจัยบอกว่าการนอนด้วยเวลาเท่านี้ จะทำให้คุณมีอาการง่วงซึม ปวดหัว เหมือนคน hang ตื่นนอน รู้สึกมึนๆ งงๆ และลุกขึ้นยาก กว่าคุณจะรู้สึกหายง่วงจากการนอน ลองนึกภาพตอนคุณหลับบนรถตู้ หรือรถเมล์ แล้วตื่นตอนถึงที่หมายซิครับ 

60 นาที เป็นการนอนที่จะส่งผลดีต่อความจำหลังจากตื่นขึ้นมา จะช่วยให้สมองคุณปลอดโปร่งในระดับนึง ทำให้สามารถจดจำข้อมูลต่างๆได้ดีขึ้น การนอนด้วยเวลาเท่านี้จะทำให้สมองอยู่ในขั้น slow-wave sleep คือหลับลึกในระดับนึงนั่นเอง แต่ข้อเสียก็คือการนอนด้วยเวลาเท่านี้ จะทำให้คุณงัวเงียมาก และตื่นยากพอสมควร เหมาะสำหรับพักผ่อนในขณะที่คุณโหมงานหนักอะไรซักอย่างอยู่ เช่นทำงานส่งลูกค้าแบบหามรุ่งหามค่ำ การอ่านหนังสือสอบข้ามคืน

90 นาที เป็นระยะเวลาการนอนที่สมองจะได้พักผ่อนอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด และมีการเข้าสู่ขั้นตอนของการฝัน ช่วยให้สมองได้พักเต็มที่ และหลังจากตื่นจะมีอารมณ์ดีขึ้น มีความจำที่แม่นยำขึ้น และจินตนาการสร้างสรรค์ทำงานได้เต็มที่ ความสดชื่นจากการนอนด้วยระยะเวลาเท่านี้ จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกงัวเงีย เหงาหงอยครับ


- See more at: http://unlockmen.com/health/item/217-nap-for-brain-benefits.html#sthash.uCixwgL3.dpuf

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่5 (เช็คสัญญาณเตือน รู้ทันโรคสมองเสื่อม)



เช็คสัญญาณเตือน รู้ทันโรคสมองเสื่อม

เมื่อร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรละเลย เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่กำลังคุกคามคุณในระยะเริ่มต้น การไปพบแพทย์ตั้งแต่พบอาการเบื้องต้นอาจช่วยรักษาโรคได้แต่เนิ่นๆ 


โรคสมองเสื่อม เกิดจากการสูญเสียเซลล์สมอง หรือการเสื่อมของเซลล์สมองโดยเริ่มจากส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองและลามไปยังสมองส่วนอื่น ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มอาการสมองเสื่อม สาเหตุหลักของภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ เรื่องของอายุและพันธุกรรม โดยผู้ป่วยในวัยตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการป่วยสูงถึงร้อยละ 5 - 8 และเพิ่มสูงขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ในผู้ที่อายุ 90 ปีขึ้นไป พบอัตราการเกิดโรค ร้อยละ 50

ภาวะสมองเสื่อมแบ่ง เป็น 2 ประเภท ได้แก่ โรคสมองเสื่อมที่รักษาให้หายขาดได้ และโรคสมองเสื่อมที่รักษาไม่หายขาด 


ภาวะสมองเสื่อมอีกแบบที่ไม่สามารถรักษาได้ เกิดจากความเสื่อมของสมอง ส่วนภาวะสมองเสื่อมชนิดที่รักษาได้มักมาจากโรคทางกายที่พบมากในผู้สูงอายุ เช่น เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบตัน ซึ่งมีสาเหตุจากความดันไขมันหรือน้ำตาลในเลือดสูง สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถรักษาได้โดยการรับประทานยาควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร และดูแลร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย อาการคล้ายโรคสมองเสื่อมก็จะดีขึ้นหรือหายไป



อาการเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม
1.
ความจำระยะสั้นไม่ดี เช่น ลืมวันนัด ลืมของบ่อยๆ พูดซ้ำ ถามซ้ำ ไม่รู้เวลาและวันที่
2.
ภาษาบกพร่อง เช่น เรียกชื่อของและชื่อคนที่คุ้นเคยไม่ถูก หรือสูญเสียความเข้าใจภาษา
3.
สับสนทิศทาง เช่น ขับรถแล้วหลงทางในเส้นทางที่คุ้นเคย หรือหลงเวลาออกนอกบ้านคนเดียว
4.
ทำงานซับซ้อนไม่ได้ เช่น วางแผนและลำดับงานไม่ได้ คิดเลขง่ายๆไม่ถูก
5.
อารมณ์แปรปรวน เช่น ซึมเศร้าอย่างไม่มีเหตุผล หงุดหงิด ก้าวร้าว เห็นภาพหลอน
6.
บุคลิกเปลี่ยนไป มีความเชื่อที่ผิดแปลก หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น อยู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดัง



ที่มา http://news.voicetv.co.th/thailand/128276.html

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่4 (มหัศจรรย์ความลับของร่างกาย ได้รู้แล้วทึ่งสุด ๆ)

    มหัศจรรย์ความลับของร่างกาย ได้รู้แล้วทึ่งสุด ๆ




    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

                จิตใจของคนเรายากแท้จะหยั่งถึง ร่างกายของเราเองก็เช่นกันที่มีระบบต่าง ๆ ซับซ้อนซ่อนอยู่ ซึ่งถ้าเราไม่ใช่หมอที่มีความรู้ หรือนักวิทยาศาสตร์ ก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้ความลับของร่างกายอีกหลายต่อหลายอย่าง แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่หมอ ก็สามารถรับรู้ความลับของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายได้เหมือนกันเพราะเว็บไซต์ Readers’ Digest เขาได้หอบเอาข้อมูลจาก Travis Stork หัวเรือใหญ่ของรายการ The Doctors มาฝากกันด้วย เอาเป็นว่ารีบมาอ่านกันดีกว่า ร่างกายเขาอยากจะบอกความลับให้เราได้รู้กันแย่แล้วจ้า




     สมองมีความคิดกว่า 20,000 อย่างต่อวัน

              เคยสงสัยกันไหมคะว่าวัน ๆ หนึ่งในสมองของเรามีความคิดวนไปเวียนมากันมากเท่าไร คำตอบก็คือเซลล์สมองและเส้นประสาทนับ 100 พันล้านเซลล์มีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา เฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 5-50 ครั้งต่อวินาที ชีพจรเต้นเร็ว 270 ไมล์ต่อชั่วโมง และปรากฏการณ์นี้ก็ทำให้เราสามารถพูดเห็นและเห็นสิ่งของต่าง ๆ ด้วยความคิดที่ต่อเนื่องได้ เป็นต้นว่า

               1. เห็นสัตว์ตัวเล็กที่มีขนปุกปุยตัวนั้นว่าเป็นแมว

               2. มีสีส้ม

               3. คุณนึกถึงแมวการ์ฟีลด์

               4. คุณจำได้ว่าการ์ฟีลด์เป็นการ์ตูนเรื่องโปรดของคุณเอง





     ร่างกายของเราไม่สามารถถึงจุดเดือด หรือจุดเยือกแข็งได้

              ในร่างกายของเรามีระบบปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติอยู่ ซึ่งจะคอยปรับอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุลกับสภาพอากาศภายนอก อย่างถ้าข้างนอกมีอุณหภูมิสูงกว่า 36 องศาเซลเซียส ร่างกายจะรู้สึกร้อน และระบายความร้อนออกมาในรูปแบบเหงื่อ แต่ถ้าอุณหภูมิเริ่มเย็นลง ต่อมเหงื่อก็จะปิด และอุณหภูมิในร่างกายก็จะค่อย ๆ ปรับตัวเป็นปกติต่อไป หรือถ้าอากาศภายนอกเย็นจัด ร่างกายก็จะส่งความร้อนออกมาให้ความอบอุ่นทันทีเช่นกัน




     หัวใจเต้นเป็นจังหวะ 60-100 ครั้งต่อนาที

              ร่างกายของเรามีจังหวะการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 100,000 ครั้งต่อวัน หรือประมาณ 3 พันล้านล้านครั้งในชีวิตของคนคนหนึ่งโดยเฉลี่ย แต่ถ้าได้ออกกำลังกาย หัวใจก็จะเต้นแรงขึ้นอีกกว่า 70% เมื่อเทียบกับคนที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยกว่า ซึ่งจะมีอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นเพียง 20% เท่านั้น และเลือดก็จะสูบฉีดผ่านหลอดเลือดแดงได้ถึง 2,000 แกลลอนต่อวันเลยด้วยค่ะ



     เราหายใจ 25,000 ครั้งต่อวันโดยธรรมชาติ

              การหายใจโดยธรรมชาติก็คือ การที่เราหายใจเป็นปกติในแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งถือว่าเป็นกลไกธรรมชาติของเซลล์สมองที่สั่งการให้ร่างกายเราหายใจ และใคร ๆ ก็รู้ว่าตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ ก็หมายถึงการมีชีวิตอยู่ของเรานั่นเอง แต่ทราบไหมคะว่าใน 1 วัน เราหายใจไปมากถึง 25,000 ครั้งเลยทีเดียว 

              ที่ต้องหายใจถี่ขนาดนี้ก็เพราะว่า ร่างกายของมนุษย์ทุกคนต้องมีการเผาผลาญ ซึ่งกระบวนการเผาผลาญจำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนประมาณ​ 7-10 ออนซ์ต่อนาที และก็ไม่ต้องกลัวว่าหายใจเอาอากาศเข้าไปมากขนาดนั้นแล้วจะไม่มีที่เก็บ เพราะในร่างกายก็มีถุงลมเอาไว้เก็บออกซิเจนได้มากถึง 300 ล้านโมเลกุลอากาศขนาดเล็ก (microscopic) ซึ่งสามารถกักออกซิเจนเอาไว้ใช้ และกรองคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากร่างกายได้อีกด้วย




     กล้ามเนื้อประสาทตาเคลื่อนไหวกว่าแสนครั้งต่อวัน

              กล้ามเนื้อจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับการโฟกัสระยะการมองเห็นของเราต้องเคลื่อนไหวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน หรือเทียบเท่ากับการเดินไกลกว่า 50 ไมล์เลยทีเดียว เพื่อให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมรักษาสุขภาพตากันให้ดีด้วยนะคะ เส้นประสาทตาของเราจะได้ทำงานหนักน้อยลงอีกหน่อย




     เรากะพริบตาประมาณ​ 15 ครั้งต่อนาที

              นอกจากจอประสาทตาจะต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอแล้ว ในขณะที่เราตื่นนอน ร่างกายของเรายังสั่งการให้เราต้องกะพริบตาประมาณ 15 ครั้งต่อนาที หรือประมาณ 15,000 ครั้งต่อวันอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องดวงตาจากฝุ่นและอันตรายทั้งหลาย อย่างถ้าสังเกตเวลาที่มีลมแรง ๆ หรืออากาศเย็น ๆ ดูสิ จะรู้สึกได้ว่าเราจะกะพริบตาหรือหรี่ตาลงบ่อยขึ้น



     ร่างกายผลิตน้ำลายกว่า 6 ถ้วยต่อวัน

    ดูเหมือนจะไม่มากขนาดนั้น แต่จริง ๆ แล้วถ้าจะวัดตวงกันอย่างจริงจังก็จะเห็นว่า ร่างกายของเราผลิตน้ำลายออกมามากถึง 6 ถ้วยต่อวันเลยทีเดียว และอย่าได้ยี้น้ำลายเด็ดขาดเชียวนะคะ เพราะถ้าไม่มีน้ำลาย ร่างกายของเราจะไม่สามารถรับรสอาหารได้ กลืนอาหารก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ชัด อีกทั้งน้ำลายยังมีประโยชน์ในเรื่องของการช่วยย่อยอาหาร ดักจับและฆ่าเชื้อโรคที่ผ่านเข้ามาทางปากของเราได้ด้วย เพราะในน้ำลายมีเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามาก ๆ เลยล่ะ




     ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง 3 ล้านเซลล์ต่อวินาที

               เลือดทุกหยดในตัวเราจะประกอบไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่เต็มไปหมด เพราะเพียงแค่เลือดหยดเดียวก็จะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงนับล้านตัวผสมอยู่ ดังนั้นร่างกายจึงต้องผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาเยอะ ๆ เพื่อให้โปรตีนฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงไปจับกับออกซิเจน และส่งไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไงล่ะ





     ทุกครั้งที่มีดบาด แผลจะไม่โชกเลือดหรือติดเชื้อ
              ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่าเวลาที่ถูกมีดบาดแบบไม่ลึกเท่าไร จะมีเลือดซึมออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และแผลที่ถูกมีดบาดก็ไม่ได้อักเสบหรือติดเชื้อถ้าได้รับการดูแลที่ดีด้วย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าทุกครั้งที่เกิดบาดแผลบนผิวหนังของเรา เลือดที่หลั่งออกมาจะช่วยทำความสะอาดบาดแผล และป้องกันเชื้อโรคเข้าไปด้วยการแข็งตัวเป็นลิ่ม เพื่อที่จะไปขัดขวางสิ่งสกปรกต่าง ๆ 

              แต่ถ้ามีเชื้อโรคแทรกแซงเข้าไปในแผลได้ เซลล์เม็ดเลือดขาวก็จะออกมาจัดการเชื้อโรคเหล่านั้นทันที และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะหลั่งสารฮีสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ จึงทำให้แผลเกิดอาการบวมแดงนั่นเอง และกระบวนการเหล่านี้ก็จะกระตุ้นให้ทุกเซลล์ในร่างกายของเราตื่นตัว เพื่อคอยรับมือกับเชื้อโรคที่แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายเราด้วย



     ไตอาศัยเลือดกว่า 50 แกลลอนเพื่อช่วยฟอกให้สะอาด

              ในแต่ละวันร่างกายได้รับมลพิษ และสารพิษไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จึงทำให้ไตต้องคอยฟอกเลือดอย่างขะมักเขม้น และในกระบวนการทำความสะอาดไตแต่ละครั้ง ก็ต้องอาศัยเลือดมากกว่า 50 แกลลอน หรือประมาณ 3 เท่าของถังแก๊สรถยนต์ขนาดกลาง เพื่อช่วยในการฟอกไตให้สะอาด และกลั่นเอาสารพิษออกไปจากร่างกายด้วย

              นอกจากนี้ไตยังเป็นอวัยวะที่สำคัญกับการรักษาความสมดุลของระบบขับถ่ายของเรา โดยดูได้จากเวลาที่เราดื่มน้ำเยอะ ไตก็จะทำงานได้ดีขึ้น เวลาขับปัสสาวะก็จะออกมาเป็นสีเหลืองอ่อน หรือสีซีดจนเกือบขาว แต่ถ้าวันไหนดื่มน้ำน้อย สารพิษในร่างกายก็จะตกค้างอยู่เยอะ และไตก็ขับพิษออกมาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงทำให้ปัสสาวะออกมาเป็นสีเหลืองเข้มคล้าย ๆ สีของน้ำแอปเปิล




     ร่างกายสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาประมาณ ​0.3% ทุกวัน

              กระดูกของเราทุกคนแข็งแรงเหมือนเหล็ก แต่มีน้ำหนักเบาเหมือนอะลูมิเนียม และมีชีวิตอยู่ร่วมกับเส้นเลือดและเส้นประสาทอีกมากมาย นอกจากนี้กระดูกยังเป็นอวัยวะที่ร่างกายผลิตใหม่ออกมาใหม่ได้ตลอดอายุของเราเอง แต่สำหรับคนที่โตเต็มที่แล้วร่างกายก็จะผลิตกระดูกเพิ่มขึ้น 10 % ต่อปี หรือเฉลี่ยก็ประมาณ 0.3% ต่อวัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราไม่ค่อยได้ใช้กระดูก หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเท่าไรนัก กระดูกก็มีสิทธิ์ที่จะหด เสื่อมสภาพ และเติบโตได้ช้ากว่าคนที่ออกกำลังกายอยู่เสมอด้วยนะคะ




     เหงื่อที่เท้าเราหลั่งออกมามากกว่า 2 ถ้วยต่อวัน

              ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเท้าเราถึงมีกลิ่นอับมากกว่าจะมีกลิ่นหอมสดชื่น เพราะในแต่ละวันที่เราก้าวเดินโดยเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่า 8,000-10,000 ก้าว ร่างกายก็จะผลิตเหงื่อออกมาที่เท้ามากเท่านั้น โดยเฉลี่ยแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 2 ถ้วยตวงต่อวันเลยทีเดียว ยิ่งถ้าสวมถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบ เหงื่อที่ออกมากก็จะไม่มีที่ระบายให้แห้ง สุดท้ายก็จะอับจนส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาอีกด้วย




     เซลล์ผิวที่ตายแล้วมีมากถึง 50 ล้านเซลล์ต่อวัน

              ผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีพื้นที่กว้างที่สุดในร่างกายของเรา และมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อร่างกายเราหลายอย่าง เช่น เป็นที่อาศัยของต่อมเหงื่อ โดย 1 ตารางนิ้วของผิวหนังจะมีต่อมเหงื่อประมาณ 650 ต่อม เป็นที่อยู่ของหลอดเลือดกว่า 20 ฟุต มีเซลล์เม็ดสีอยู่มากถึง 60,000 เซลล์ และมีปลายประสาทอยู่ใต้ผิวหนังอีกประมาณ 1,000 ปลายประสาท ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าแต่ละวันร่างกายของเราจะผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปได้มากถึง 50 ล้านเซลล์ต่อวัน




     ร่างกายมีระบบต่อสู้มะเร็งเสมอ

              ร่างกายของเรามีเซลล์อยู่ประมาณล้านล้านเซลล์ ถ้าการกลายพันธุ์เกิดขึ้นในดีเอ็นเอในส่วนใดก็ตาม ก็สามารถสร้างเซลล์มะเร็งที่พร้อมจะลุกลามแพร่กระจาย และกลายเป็นเนื้องอกได้หมด 



              ทั้งนี้ ในแต่ละนาทีร่างกายก็จะมีการแตกเซลล์ด้วย ซึ่งการแตกเซลล์ในแต่ละครั้งก็จะมีการคัดลอกยีน 30,000 ยีนด้วยทุกครั้ง และถ้าหากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจับความผิดปกติของยีนและดีเอ็นเอที่คัดแยกออกมาได้ ก็จะหยุดส่งเลือดและสารอาหารไปให้เซลล์ดีเอ็นเอที่ผิดปกตินั้นทันที จนส่งผลให้ดีเอ็นเอที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งเหล่านั้นค่อย ๆ ฝ่อและตายไปในที่สุด ทำให้เรารอดพ้นจากโรคมะเร็งได้ขั้นหนึ่งนั่นเอง



              ได้รู้ความลับของร่างกายที่เราไม่เคยได้รู้มาก่อนแล้วอย่างนี้ ต่อไปจะได้ดูแลร่างกายและสุขภาพของเราได้อย่างถูกต้องกันมากขึ้น และจะได้ลดความวิตกกังวลกับปัญหาสุขภาพบางอย่างไปได้อีกด้วยเนอะ

    ขอบคุณความรู้ดีๆจาก Kapook.com
     

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่3 ( 10 สัญญานร่างกาย... บ่งบอกว่าคุณเป็นโรค)


10 สัญญานร่างกาย... บ่งบอกว่าคุณเป็นโรค

1.ผมร่วงมาก : ต่อมไทรอยค์ผิดปกติ

2.ริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า : โรคกระดูกพรุน

3.ตาเหลือง : โรคตับ , ถุงน้ำดีผิดปกติ

4. ปากเหม็น: หัวใจและกระดูกผิดปกติ

5. ริมฝีปากแห้ง : โรคภูมิแพ้ , โรคโจแกรน (หนึ่งในโรคแพ้ภูมิตัวเอง)

6.ผื่นผีเสื้อบนใบหน้า : โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง (โรคพุ่มพวง)

7.ปื้นสีดำหลังคอ : โรคเบาหวาน

8.เล็บขาว เล็บเป็นร่อง : ตับและไตผิดปกติ
เล็บสีเขียวคล้ำ : โรคหืด , ถุงลมโป่งพอง

9.ไฝเปลี่ยนสี มีขนาดใหญ่ขึ้น : โรคมะเร็งผิวหนัง

10.เท้าบวม : โรคหัวใจ