สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่11 (ประโยชน์น้ำผึ้ง)


น้ำผึ้ง (Honey) คือผลผลิตของน้ำหวานจากดอกไม้ และจากแหล่งอื่นๆ ที่ผึ้งงานนำมาเก็บสะสมไว้ โดยผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีแล้วสะสมไว้ในรังผึ้ง ซึ่งปกติแล้วน้ำผึ้งจะมีกลิ่น รส สี ที่ต่างกันออกไปตามชนิดของพืชนั้นๆ จึงทำให้สามารถระบุชนิดของน้ำผึ้งตามชนิดของพืชนั้นได้ๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกส้ม ดอกลำไย ดอกลิ้นจี่ ก็จะแตกต่างกันออกไปซึ่งนิยมนำมาใช้เป็นสารให้ความหวานในอาหารหรือเครื่องดื่มนานาชนิด
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง นั้นหลากหลายเพราะน้ำผึ้งมีส่วนผสมของน้ำตาลและสารประกอบอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟรุกโทสกับกลูโคส และมีวิตามินและแร่ธาตุผสมอยู่ด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุทองแดง ธาตุสังกะสี เป็นต้น สำหรับสารประกอบอื่นๆที่มีอยู่ในปริมาณเพียงน้อยนิดนั้นจะเป็นสารที่ทำหน้าที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก

ประโยชน์น้ำผึ้ง

  1. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
  2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย
  3. ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
  4. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ
  5. พอกหน้าด้วยน้ำผึ้งช่วยบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื่นและนุ่มนวล หลังล้างหน้าเสร็จให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วยำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
  6. ช่วยบำรุงรักษาผิวหน้าที่แห้งแตกลอกเป็นขุย ด้วยการนำไข่แดง 1 ฟองผสมกับน้ำผึ้งผสม 1 ช้อน คนให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก
  7. ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ
  8. ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง
  9. ช่วยบำรุงเส้นผมให้นุ่มสวยเงางาม หลังสระผมเสร็จให้นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก
  10. ช่วยบำรุงเสียงให้ใส ลดอาการเจ็บคอ
  11. ช่วยลดสิวเสี้ยน สิวอุดตันบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเสร็จแล้ว ให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วยำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
  12. นิยมนำมาใช้ผสมในเครื่องต่างๆ เช่น นม ชา กาแฟ โยเกิร์ต น้ำมะนาว หรือแม้กระทั่งเบียร์หรือไวน์
  13. นำมาใช้เป็นส่วนผสมในขนมหวานต่างๆ หรือผลิตภัณฑ์ธัญญพืชต่างๆ
  14. ใช้น้ำผึ้งแทนสารกันบูดในน้ำสลัด ซึ่งจะทำให้น้ำสลัดไม่เสียและเก็บได้นานถึง 9 เดือน
  15. น้ำผึ้งสามารถนำแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ต่างๆได้อย่างหลากหลายเช่น มาส์กหน้า สบู่ เจลล้างหน้า สครับ เป็นต้น
  16. น้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ
  17. ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงต้านทานโรคต่างๆได้ดี
  18. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็ก
  19. ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
  20. ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการทำงานหรือเล่นกีฬา
  21. ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของผู้ป่วยในระยะพักฟื้น หรือผู้สูงอายุ
  22. ช่วยบรรเทาอาการของโรคต่างๆให้ดีขึ้น
  23. ช่วยในควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน
  24. ช่วยบำรุงเลือดในร่างกาย ด้วยการใช้น้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว แล้วบีบมะนาว ๅ ซีก ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วเติมน้ำร้อนดื่ม
  25. ช่วยรักษาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น
  26. น้ำผึ้งสามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดในเด็กได้ดีกว่ายาแก้ไอ
  27. ช่วยรักษาอาการเมาค้าง
  28. ช่วยปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่
  29. น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยาระงับประสาทอ่อนๆ จึงช่วยลดอาการหงุดหงิด ความกังวลได้
  30. ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ และช่วยทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น
  31. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการใช้น้ำผึ้งและงาดำอย่างละ 50 กรัม โดยนำงาดำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำผึ้ง ชงกับน้ำร้อนดื่ม
  32. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้สาลี่หอมจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม โดยปอกลูกสาลี่แล้วนำมาตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว แล้วนำมาผสมกับน้ำกิน
  33. ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เพราะน้ำผึ้งมีส่วนผสมของธาตุเหล็กซึ่งช่วยในการเพิ่มเม็ดเลือดแดง
  34. ช่วยบำรุงหัวใจ ขับชีพจร และป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  35. ช่วยบำรุงและรักษาโรคตับ
  36. ช่วยระงับความร้อนในร่างกาย
  37. ช่วยรักษาอาการตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ เป็นต้น
  38. ช่วยบรรเทาอาการไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ ด้วยการชงดื่มกับน้ำมะนาว
  39. น้ำผึ้งช่วยลดกรดในกระเพาะ ช่วยในการย่อยอาหาร เพราะน้ำผึ้งจะถูกดูดซึมทันทีเมื่อถึงลำไส้ ซึ่งต่างจากน้ำตาลชนิดอื่น
  40. ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
  41. ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสียอย่างรุนแรง
  42. ช่วยแก้อาการท้องเดิน และช่วยบำรุงลำไส้ที่อักเสบให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
  43. ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแคนดิดา (Candida) ได้ดีพอๆกับยาฆ่าเชื้อแผนปัจจุบัน
  44. ช่วยแก้อาการเด็กปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ เพราะช่วยดูดความชื้นและช่วยอุ้มน้ำไว้
  45. ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการนำกระเทียมผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานวันละ 3 ครั้ง
  46. ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ ด้วยการใช้น้ำส้มนำมาผสมกับแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน แล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละสองครั้ง
  47. ช่วยแก้อาการตะคริว หรือป้องกันการเป็นตะคริว
  48. ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มกับน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกลงได้
  49. ช่วยลดการอักเสบของบาดแผล
  50. ช่วยป้องกันการติดเชื้อของบาดแผลและช่วยให้แผลหายเร็ว
  51. ช่วยรักษาโรคฮ่องกงฟุต และกลาก เกลื้อน
  52. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและต่อต้านจุลินทรีย์
  53. ช่วยแก้ปัญหาเด็กแหวะนม โดยใช้น้ำผึ้งผสมกับนมดื่ม
  54. ใช้เป็นน้ำกระสายยา

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง ต่อ 100 กรัม
  • ประโยชน์ของน้ำผึ้งพลังงาน 304 กิโลแคลอรี่
  • คาร์โบไฮเดรต 82.4 กรัม
  • น้ำตาล 82.12 กรัม
  • เส้นใย 0.2 กรัม
  • ไขมัน 0 กรัม
  • โปรตีน 0.3 กรัม
  • น้ำ 17.10 กรัม
  • วิตามินบี1 0.038 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี3 0.121 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินบี5 0.068 มิลลิกรัม 1%
  • ประโยชน์ของน้ำผึ้งวิตามินบี6 0.024 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินบี9 2 ไมโครกรัม 1%
  • วิตามินซี 0.5 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุแคลเซียม 6 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุเหล็ก 0.42 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุแมกนีเซียม 2 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม 1%
  • โพแทสเซียม 52 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุโซเดียม 4 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุสังกะสี 0.22 มิลลิกรัม 2%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

น้ําผึ้งแท้ดูยังไง

การเลือกน้ำผึ้งแท้มารับประทานนั้นในปัจจุบันเป็นเรื่องยากมากที่จะตรวจสอบว่าน้ำผึ้งที่คุณซื้อมานั้นมันจะเป็นน้ำผึ้ง 100% หรือเปล่า เพราะในผู้ผลิตบางรายนั้นอาจจะใส่สารปลอมแปลงลง ไปผสมในน้ำผึ้งเพื่อให้เจือจาง นอกจากจะตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีราคาแพงมากและเป็นเรื่องที่ยุ่งยากนั่นเอง แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการซื้อมาจากเจ้าที่เราไว้ใจได้จริงๆ หรือไม่เราก็ควรประเมินด้วยสาตาเปล่าๆของเรานี้แหละ มาดูวิธีการเลือกน้ำผึ้งกัน
  1. ให้ดูที่ความเข้มข้นและความหนืดเป็นหลัก เพื่อให้มั่นใจว่าในน้ำผึ้งนั้นไม่มีน้ำผสมอยู่
  2. ดูจากสี สีต้องเป็นธรรมชาติ คือสีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาลใส และไม่ขุ่นทึบ
  3. ต้องมีกลิ่นหอมตามชิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ น้ำผึ้งจากดอกลำไย
  4. ต้องสะอาด ไม่มีกาก ไขผึ้ง หรือมีเศษของตัวผึ้งปะปนอยู่ รวมไปถึงวัสดุแขวนลอยต่างๆ
  5. น้ำผึ้งต้องไม่แยกชั้นและต้องเป็นเนื้อเดียวกัน
  6. ต้องไม่มีการใส่สารปรุงแต่งรส กลิ่น หรือสี ลงในน้ำผึ้ง
  7. ต้องไม่มีกลิ่นเปรี้ยว กลิ่นบูด และต้องไม่มีฟอง
  8. น้ำผึ้งแท้เมื่อนำมาหยดใส่กระดาษไข ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่ซึมอย่างแน่นอน
  9. ในบางครั้งน้ำผึ้งที่นำมาขายนั้นอาจจะได้มาจากน้ำหวานของเกสรดอกไม้ที่เป็นพิษ เช่น น้ำหวานจากดอกไม้ต้นตาตุ่มทะเล ดังนั้นก่อนซื้อควรสอบถามให้แน่ใจเสียก่อนถึงที่มาของน้ำผึ้ง
  10. ข้อสุดท้ายทดสอบโดนการหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา แล้วสังเกตการละลายถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้เมื่อคนเข้ากันแล้วน้ำผึ้งจะไม่ละลายทันที

ผู้ที่ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งนั้นตามหลักแล้วแม้จะมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับบางคนนั้น ก็ไม่ควรที่จะรับประทานน้ำผึ้งแบบสดๆโดยที่ไม่ผสมอะไรเลย เช่น
  1. ผู้ที่มีอาการแพ้น้ำผึ้งหรือเกสรน้ำผึ้ง
  2. มีคำแนะนำว่าไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบรับประทานน้ำผึ้ง
  3. ผู้ที่น้ำเหลืองเสีย มีตุ่มหนอง มีฝีพุพอง หรือโรคครุฑราชต่าง หรือผู้ที่มีอาการเสมหะพิการ(เสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก)
  4. และสุดสุดท้ายคือ คนที่ดีพิการ(มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง)










แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), USDA National Nutrient Database
เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์.คอม

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่10 (การเลือกใช้น้ำมันในการประกอบอาหาร)

การเลือกใช้น้ำมันในการประกอบอาหาร



การเลือกใช้น้ำมันในการประกอบอาหาร 

น้ำมันถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในหการประกอบอาหาร ซึ่งจัดอยู่ในหมวดของไขมันที่เป็นแหล่งพลังงานและยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ถืงแม้ว่าน้ำมันจะมีความสำคัญต่อร่างกายแต่การรับประทานมากจนเกินไป หรือเลือกใช้ไม่ถูกวิธีการอาจก่อให้เกิดผลเสียให้และก่อให้เกิดโรคกับร่างกายได้เช่นกัน ปัจจุบันมีน้ำมันหลากหลายประเภทให้เลือกบริโภค ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบเและเลือกชนิดน้ำมันเพื่อนำมาปรุงอาหารได้อย่างถูกต้อง
ทำความรู้จักชนิดของน้ำมันกันก่อน น้ำมันสำหรับปรุงอาหารถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆได้เเก่น้ำมันพืชและน้ำมันที่มาจากไขมันสัตว์ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดคิดว่า น้ำมันพืชต่างจากน้ำมันหมูหรือน้ำมันสัตว์ ตรงที่ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันสัตว์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ความจริงแล้วไม่ว่าน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ก็จะให้พลังงานต่อหน่วยน้ำหนัก เท่ากัน คือ 1 กรัม จะให้พลังงานเท่ากับ 9 kcal ดังนั้นความเชื่อที่ว่ากินน้ำมันพืชแล้วไม่อ้วน จึงไม่เป็นความจริง เพราะไม่ว่าน้ำมันอะไร หากกิน มากเกินก็ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน
หากแต่ น้ำมันสัตว์เช่น น้ำมันหมูจะมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวซึ่งมีคุณสมบัติเป็นไขได้ง่ายเมื่ออากาศเย็น ไขมันสัตว์มีกลิ่นเหม็นหืนได้ง่ายเมื่อทิ้งไว้ที่อุณหภูมิธรรมดา ไขมันจากสัตว์นอกจากมีไขมันอิ่มตัวแล้วยังมีโคเลสเตอรอลอีกด้วย การกินไขมันสัตว์มากอาจจะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันมะพร้าว เนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณมากเช่นกั
น้ำมันพืช (ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันเมล็ดปาล์ม) มีคุณสมบัติที่ตรงข้ามกับน้ำมันสัตว์ น้ำมันพืชส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าน้ำมันสัตว์ ไขมันไม่อิ่มตัวนี้จะไม่ค่อยเป็นไข แม้จะอยู่ในที่เย็นเช่น แช่ตู้เย็น แต่จะทำปฏิกิริยากับความร้อนและออกซิเจนได้ง่าย และมักทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนภายหลังจากใช้ประกอบอาหารแล้ว
ปัจจุบันมีน้ำมันพืชหลายชนิดที่เป็นน้ำมันผสม เช่น น้ำมันรำข้าวผสมน้ำมันฝ้าย หรือน้ำมันปาล์ม โอเลอินผสมน้ำมันทานตะวัน เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืชชนิดผสมหรือไม่ผสม ต่างก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนกัน

น้ำมันที่นิยมใช้ปรุงอาหารในปัจจุบัน

น้ำมันมะกอก

เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในร่างกาย อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ที่จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ลดรอยเหี่ยวย่นได้ น้ำมันมะกอกมีจุดเกิดควันต่ำ (หมายถึง เกิดควันได้ง่าย) จึงไม่เหมาะกับการปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อน นิยมนำมาทำเป็นน้ำสลัด หรือเป็นส่วนประกอบของน้ำสลัด ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมีราคาแพงและมีกลิ่นค่อนข้างฉุน

น้ำมันถั่วเหลือง,น้ำมันเมล็ดทานตะวัน,น้ำมันข้าวโพด

มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง ไม่เป็นไขที่อุณหภูมิต่ำ แต่ถ้าผ่านความร้อนอุณหภูมิสูงมากจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย จึงเหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนปานกลาง เช่น การผัด หรืออาจนำมาทำน้ำสลัด และมาการีน

น้ำมันรำข้าว

น้ำมันรำข้าวเป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่ง ผลิตจากรำข้าว มีโอริซานอล ซึ่งสารตัวนี้มีแต่ในรำข้าว สารตัวนี้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นได้สูง ทำให้ไม่ต้องใส่สารกันหืนในน้ำมันรำข้าว คุณภาพทางโภชนาการของน้ำมันรำข้าวก็ไม่แตกต่างจากน้ำมันถั่วเหลืองนัก

น้ำมันเมล็ดคำฝอย

เป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงที่สุดในบรรดาน้ำมันพืชที่ใช้ปรุง อาหาร และยังมีกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติและอาหารเพื่อสุขภาพ

น้ำมันปาล์ม

เป็นน้ำมันพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีบทบาทใน วงการอาหารบ้านเรามากขึ้น จุดขายที่ใช้ในการโฆษณาคือไม่มีกลิ่นหืนและทอดได้กรอบ เนื่องจากมีกรดไขมันที่มีความอิ่มตัวมากกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นที่กล่าวมา แล้วทำให้น้ำมันปาล์มมีกลิ่นหืนยากกว่า และยังไม่เกิดควันเมื่อผัด หรือทอดอาหารที่อุณหภูมิสูง มีราคาถูกจึงเป็นที่นิยมใช้ในธุรกิจอาหาร แต่ด้วยความที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง และมีกรดไลโนอีกต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆจึงทำให้คอเลสเตอรอลสูงได้

น้ำมันมะพร้าว

เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก และเป็นไขได้ง่ายเมื่อมีอุณหภูมิต่ำ จึงไม่ค่อยนิยมนำมาปรุงอาหาร แต่จะใช้เพื่อผลิตมาการีนและสบู่

วิธีเลือกใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร

การใช้น้ำมันปรุงอาหารจะต้องคำนึงถึงความร้อนที่ใช้ประกอบอาหารเป็นหลัก เพราะนอกจากจะทำให้อาหารเหล่านั้นมีรสชาติที่เท่ากันแล้ว การเลือกใช้น้ำมันให้เหมาะสมกับชนิดและประเภทของการปรุงอาหารจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น การผัด ซึ่งใช้น้ำมันเพียงเล็กน้อยหรือขลุกขลิกจะใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันมะกอก
การทอดอาหารที่ใช้น้ำมันมากและใช้ความร้อนสูงในการประกอบอาหาร เช่น ทอดไก่ ทอดปลา ทอดกล้วยแขก ทอดปาท่องโก๋ หรือทอดโดนัท ไม่ควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เพราะจะทำให้เกิดควันได้ง่าย น้ำมันเหม็นหืน และทำให้เกิดความหนืด เนื่องจากมีสาร “โพลีเมอร์” เกิดขึ้น น้ำมันที่เหมาะสำหรับการทอดอาหารในลักษณะนี้ คือน้ำมันชนิดที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันหมู เพราะนอกจากจะปลอดภัยจากสารพิษที่จะเกิดขึ้นจากการใช้น้ำมันผิดประเภทแล้ว ก็ยังได้อาหารที่มีรสชาติดี กรอบ อร่อย
ทำน้ำสลัด การทำน้ำสลัดประเภทต่างๆต้องใช้น้ำมันพืชที่ไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก ข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้น้ำมันปรุงอาหาร







Credit: หมอชาวบ้าน, manager.co.th, health.kapook.com, กองโภชนาการ กรมอนามัย


สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่9 (ความลับของตัวเลขบนสติ๊กเกอร์ผลไม้...เรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคต้องรู้)


      



ความลับของตัวเลขบนสติ๊กเกอร์ผลไม้...เรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคต้องรู้



  เวลาเราไปเลือกซื้อผลไม้สดตามซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ ที่นำสินค้าต่างประเทศเข้ามาขาย เคยสังเกตกันบ้างไหมคะว่า ผักผลไม้ที่นำเข้าจากเมืองนอก อย่างเช่น มะเขือเทศ แครอท แอปเปิล กล้วย ส้ม มะละกอ ฯลฯ จะมีสติ๊กเกอร์เล็ก ๆ ติดอยู่บนเปลือกของผลไม้ ซึ่งสติ๊กเกอร์เหล่านั้นนอกจากจะบอกว่าผักผลไม้นั้นนำเข้ามาจากประเทศไหนแล้ว ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นตัวเลข 4-5 หลักอยู่ในฉลากด้วย แต่เชื่อเถอะว่าหลายคนไม่ได้สนใจเจ้าตัวเลขพวกนั้นเท่าไรหรอก ทั้งที่ความจริงแล้ว ตัวเลขเหล่านี้มีความลับซ่อนอยู่ แถมผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็ต้องรู้ไว้ด้วยค่ะ 

          ....วันนี้กระปุกดอทคอม จะมาเปิดเผยความลับของรหัสตัวเลขแปลก ๆ บนฉลากของผักผลไม้ให้ได้รู้กัน จากข้อมูลของ plucodes.com ใครที่เคยสงสัย ตามมาไขข้อข้องใจกันดีกว่า



          สำหรับตัวเลขบนสติ๊กเกอร์นั้น เป็นตัวเลขที่ทาง International Federation for Produce Standards (IFPS) กำหนดขึ้น เพื่อแสดงให้ผู้บริโภคได้รู้ว่า ผักผลไม้ที่เรากำลังจะซื้อนั้นใช้กรรมวิธีใดในการปลูก โดยตัวเลขที่ปรากฏบนสติ๊กเกอร์ผักผลไม้ จะมีในลักษณะดังต่อไปนี้

           ตัวเลข 4 หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 3 หรือ 4 เช่น 3XXX, 4XXX หมายถึงผักผลไม้นั้นปลูกด้วยวิธีการปกติ คือมีการใส่ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลงตามวิธีการดูแลรักษาผลผลิตทั่ว ๆ ไป

           ตัวเลข 5 หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 8 เช่น 8xxxxหมายถึง ผลไม้นั้นเป็นผลไม้ที่ปลูกด้วยวิธีการดัดแปลงทางพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า จีเอ็มโอ


          จีเอ็มโอ (GMOs) มาจากภาษาอังกฤษว่า Genetically Modified Organisms เป็นกระบวนการที่กำหนดให้ผลไม้นั้นมีลักษณะจำเพาะเจาะจงตามต้องการ เช่น มีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช คงทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือมีการเพิ่มขึ้นของสารโภชนาการหรือชีวโมเลกุลบางชนิด เช่น วิตามิน โปรตีน ไขมัน เป็นต้น แต่ก็อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการเจือปนของสารบางอย่างระหว่างผ่านกระบวนการก็เป็นได้ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคพืชผักที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม

           ตัวเลข 5 หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 9 เช่น 9xxxx หมายถึง ผลไม้ออร์แกนิค ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ ในการปลูก จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค ดังนั้น เราสามารถเลือกซื้อผลไม้ที่ขึ้นต้นด้วยเลข 9 ไปทานได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสารพิษ ยาฆ่าแมลงใด ๆ เจือปนนั่นเอง

          เห็นความลับของตัวเลขบนสติ๊กเกอร์ผลไม้แล้ว บอกได้เลยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ แบบเต็ม ๆ เลยล่ะ ดังนั้น ในการเลือกซื้อผักผลไม้ครั้งต่อไป อย่าลืมก้มอ่านตัวเลขบนฉลากกันก่อนนะคะ  




ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com,sanook.com,scb

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่8 (การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ)


การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ

          การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งประกอบด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเราเองอย่างเหมาะสมถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ การป้องกันโรค การใช้ไลฟ์สไตล์ (Life Style) ที่ถูกต้องไม่ทำลายสุขภาพของตัวเราทั้งระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญคือ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ   ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกาย(กล้ามเนื้อ)มีความแข็งแรง มีความสดชื่น กระฉับกระเฉง เป็นต้น
          ซึ่งวิธีการออกกำลังกายนั้นทำได้หลายวิธีแตกต่างกันเช่น การเดินเร็ว ๆ การวิ่งเยาะ ๆ การเต้นแกว่งแขน ยกขา อยู่กับที่ ในบ้าน ในสนามหน้าบ้าน การรำมวยจีน ไทเก็ก การใช้ไม้พลองประกอบ   การทำโยคะ การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้อง และที่สำคัญมาก ๆ คือ   จะต้องดูตัวเราเองว่า อายุ สุขภาพ ของเราเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหนดีที่จะมีประโยชน์เหมาะกับร่างกายของเรา มากที่สุด ไม่ใช่ว่าจะออกกำลังกายตามคนอื่น ๆ
วิธีการออกกำลังกาย
                การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น นายแพทย์ พิชัย ดิฐสถาพร  จาก โรงพยาบาลบาลเกษมราษฎร์ จังหวัดสระบุรี ได้กล่าวให้ความรู้ว่า  จะต้องให้กล้ามเนื้อหลัก ๆหรือกล้ามเนื้อชุดใหญ่ได้เคลื่อนไหวหรือที่เรามักจะพูดกันว่า ให้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ได้ทำงาน เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา ท้อง คอ รวมทั้งปอดและหัวใจ

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย  
          1. ทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ หรือร่างกายนั่นเอง การทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคล่องแคล่วขึ้น
          2. ช่วยขับของเสียที่เกิดจากกระบวนการ เมแทโบลิซึม (Metabolism) ของเซลล์ ออกจากร่างกาย   เช่น คาร์บอนไดออกไซด์   ที่ออกมาพร้อมลมหายใจออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อ และ ปัสสาวะ เป็นต้น
          3. กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี รวมทั้งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจด้วยเช่นกัน
          4. ช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          5. ลดไขมันในเลือด กล้ามเนื้อ และ กระดูกแข็งแรง ช่วยให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น
          6. ช่วยให้ ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบ อิมมูน (Immune System) ของร่างกายแข็งแรงดีขึ้น
          7. ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นการลด ความเครียด ของร่างกาย เพราะถ้าเรามีความเครียดมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน โรคหัวใจ การขับถ่ายผิดปกติ และ  ที่สำคัญยิ่งคือ ความเครียดจะนำไป
สู่การเป็น โรคมะเร็ง ได้
เวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย
            เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนเราในสังคมยุคปัจจุบัน                ทั้งในเมืองเล็กเมืองใหญ่ ในแต่ละวันจะต้องตื่นแต่เช้ารีบเร่งไปทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน การจราจรที่ติดขัด ดังนั้นการที่จะบอกว่า ออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดนั้นคงบอกชัดเจนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเวลา และความพร้อมของแต่ละคน
             ตอนเช้าอากาศค่อนข้างดี มีมลภาวะน้อย ก็เหมาะในการออกกำลังกาย ตอนเย็นหลังจากเลิกงาน ช่วงเวลา 16:00 - 18:00 น. ก็เหมาะสม ไม่ต้องกังวลเรื่องไปทำงาน และเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อที่ได้เคลื่อนไหวมาในตอนกลางวันแล้ว ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดีขึ้นที่จะออกกำลังกายในตอนเย็น
              ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะต้องพิจารณาตัวเอง ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง คงไม่มีกฎตายตัวสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน   แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือร่างกายของคนเราต้องมีการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมีสุขภาพดี
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย
           ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายนาน กี่นาที กี่ชั่วโมง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทางด้านการแพทย์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ตายตัวว่าออกกำลังกายนานแค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เช่นความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ
           แต่โดยทั่วไปทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 – 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที ก็ได้

การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย
           รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ อภิชาติ   อัศวมงคลกุล     ภาควิชาศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า ผู้ที่ออกกำลังกายควรเลือกการออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีออกกำลังกาย   นอกจากนี้การออกกำลังกายในครั้งแรก ๆ ไม่ควรหักโหมมาก การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม
           ในขณะออกกำลังกายให้ท่านสังเกตอาการของตัวเราในขณะออกกำลังกายด้วย โดยสังเกตอาการดังต่อไปนี้
                1. หัวใจเต้นมาก เต้นแรง จนรู้สึก
                2. หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
                3. เหนื่อย ใจหวิว ๆ จนเป็นลม
           หากมีอาการดังกล่าวก็ให้หยุดออกกำลังกาย พักร่างกายสัก 2 วัน และเวลาออกกำลังกายครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลงการเตรียมตัวสำหรับการออกกำลังกาย
          1. ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรรับประทานอาหารรองท้อง เช่น ดื่มนม   โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ 1 แก้ว (ไม่ใช่รับประทานเป็นอาหารหลัก) หากไม่กินอะไรเลยเวลาออกกำลังกายมีโอกาสเป็นลมได้
          2. ต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เช่นเดินภายในบ้าน รอบ ๆ บ้าน ในสนาม หรือที่ๆ เหมาะสม ประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น หลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น
          3. เริ่มออกกำลังกายตามปกติ
          4. หลังจากออกกำลังกายตามปกติแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายทันที ควรผ่อนการออกกำลังกายลงจนกระทั่งชีพจรหรือการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ จึงหยุดการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายสัมพันธ์กับการหายใจ
            วิธีการหายใจที่ถูกต้อง เวลาหายใจเข้าพยายามหายใจเข้าทางจมูกเท่านั้น เพราะภายในจมูกมีเครื่องกรองอากาศ คือ ขนจมูก และมีเยื่อเมือก ๆ เหนียว ๆ ช่วยจับฝุ่นละอองในอากาศที่เข้ามาพร้อมลมหายใจเข้า ให้สูดลมหายใจเข้าในปอดให้มากที่สุดให้ปอดพองโต กลั้นหายใจไว้โดยนับ 1 ถึง 3 ช้า ๆ แล้วจึงค่อย ๆ หายใจออกทางปากให้มากที่สุดให้ปอดแฟบลง หรือท้องแฟบลง เพื่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียจากเซลล์ออกมาให้มากที่สุด นั่นคือออกซิเจนจะเข้าไปในปอดเต็มที่ และ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากปอดเต็มที่ เช่นกัน ปอดเรามีความจุ 2 ข้าง ประมาณ 3.5 – 4.5 ลิตร แต่ที่เราหายใจตามปกติอยู่ทุกวันนั้น อากาศเข้าปอดเพียงครึ่งลิตรเท่านั้นเอง ของเสียหรือคาร์บอนไดออกไซด์ก็ออกมาไม่มาก เราจึงต้องฝึกการหายใจให้ถูกต้องเพื่อ
สุขภาพของเราเอง
          
ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มออกกำลังกายโดยการ เต้นแอโรบิค (aerobic) กันมากมาย มีผู้นำเต้น พร้อมกับเปิดเพลงจังหวะเร่าร้อน รีบเร่ง และเราก็ต้องเต้นให้เข้าจังหวะตามคนนำซึ่งอยู่บนพื้นสูง คนที่ร่วมเต้นบางคน บางครั้ง ก็เครียด เกร็งกลัวจะไม่ถูกจังหวะ ไม่เข้ากับกลุ่ม ไม่เข้ากับคนที่เต้นนำ ทำให้มีความเครียดเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นการเต้นที่ไม่ถูกต้อง การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้องร่างกายจะเกิดด่างเพราะได้ออกซิเจนมาก แต่ที่เต้นอย่างเร่งรีบเร่าร้อนนั้น เป็น อันแอโรบิค ( unaerobic ) คือกลับได้คาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดกรด  มาก ๆ เข้าก็กลับเป็นโทษแก่ร่างกายอีก
          ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกการหายใจให้ถูกต้อง ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองข้อแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายต่าง ๆ ตามที่กล่าวมานี้เป็นข้อแนะนำทางการแพทย์ทั่ว ๆ ไป ไม่เป็นกฎตายตัว ผู้ที่จะออกกำลังกายต้องพิจารณาตัวเอง อายุ สุขภาพ โรคภัยที่กำลังเป็นอยู่ จะออกกำลังกายอย่างไร แค่ไหน เมื่อไหร่ บางครั้งอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำก่อนออกกำลังกาย
            ขอให้มีความสุขกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยรวมจะได้แข็งแรง สุขภาพดี จิตใจดี อารมณ์ดี   ความเครียดลดลง โรคภัยจะได้ไม่มาเยี่ยมกรายเรา  นะครับ


                                                                         ......................

                                              
เว็บไซต์อ้างอิง
  1. การออกกำลังกายที่ถูกต้องอย่างถูกวิธี (Online) เข้าถึงได้   
                จาก  http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e_pl/articledetail.asp?id=398       สืบค้น     05/08/2556
  2. การออกกำลังกายที่เหมาะสม (Online) เข้าถึงได้จาก
                http://www.ns.mahidol.ac.th/english/th/department/FN/th/exercise_th.html     สืบค้น     05/08/2556
  3. ออกกำลังกายเวลาไหนดีที่สุด (Online) เข้าถึงได้จาก   http://www.krubannok.com/blog
                 13458
    สืบค้น       05/05/2556
  4. เช็คก่อนออกกำลังกายที่เหมาะสม (Online)
                 เข้าถึงได้จาก   http://www.thaihealyh.or.thhealthcontent/article/30595   สืบค้น   06/28/2556

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่7 ( อาการสัญญาณเตือนภัย 20 มะเร็งร้าย)



อาการสัญญาณเตือนภัย 20 มะเร็งร้าย

โรคมะเร็งคือ โรคของเซลล์ ที่มีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ กลายเป็นก้อนมะเร็ง ซึ่งสามารถบุกรุกทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียง และกระจายไปยังอวัยวะอื่นได้
เมื่อร่างกายได้รับสิ่งก่อมะเร็ง เช่น สารเคมี ไวรัสรังสี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลง และในที่สุดเซลล์ปกติก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ถ้าระบบภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถทำลายเซลล์นั้นได้ เซลล์มะเร็งก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นก้อนมะเร็งต่อไป
มะเร็งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้าตรวจพบในระยะเริ่มแรก สำหรับอาการบ่งชี้ของโรคมะเร็ง 20 ชนิด มีดังนี้
1. มะเร็งปากมดลูก
โดยทั่วไปในระยะแรก จะไม่ปรากฎอาการใดๆ แต่ในระยะต่อมาผู้ป่วยจะพบตกขาวหรือมีเลือดออกผิดปกติทาง และการตรวจพบแผลหรือก้อนที่ปากมดลูก
2. มะเร็งเต้านม
ขนาดเต้ามนมใหญ่ขึ้น เต้านมแข็ง หดตัวเล็ก หรือแบน ลงได้ หัวนมบุ๋มเข้าไป ผิวหนังบริเวณเต้านมมีลักษณะ หยาบ ขรุขระ หรือรอยบุ๋ม มีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลซึมออกมาจากหัวนม คลำพบก้อนที่รักแร้ หรือไหปลาร้า มีแผลที่ผิวหนังของเต้านม และมีแผลเรื้อรังที่หัวนม แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์ เมื่อคลำพบก้อนในเต้านม
3. มะเร็งตับ
อาการเบื่ออาหาร ท้องอืด จุกเสียด ท้องผูก ปวดแน่นท้องบริเวณด้านขวาหรือบริเวณลิ้นปี่หรืออาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ขวา อ่อนเพลีย น้ำหนักลด และมีไข้ต่ำๆ ผื่นคันตามมือเท้าและที่ผิวหนัง ปวดหรือเสียดชายโครงด้านขวา อาจปวดร้าวไปที่ไหล่หรือลำตัวซีกขวา อาจคลำพบก้อนในท้องใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่ มีอาการท้องมวน ท้องโต บวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง ตัวเหลือง ตาเหลือง และปัสสาวะสีเหลือง
4. มะเร็งปอด
ในระยะแรกไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจนไปกดหลอดลมหรือลุกลามไปสู่อวัยวะอื่น จะมีอาการไอมีเลือดออก เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย มีหน้าบวม แขนบวม เจ็บหน้าอกและหัวไหล่ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร
5. มะเร็งช่องปาก
มีอาการเป็นฝ้าขาว ฝ้าแดง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งได้ในภายหลัง เป็นตุ่มก้อนในปากที่โตขึ้นเรื่อยๆ มีก้อนที่คอ เป็นแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ ฟันโยก ฟันหลุดเนื่องมาจากเนื้องอก ใส่ฟันปลอมที่เคยใช้ไม่ได้


6. มะเร็งโพรงหลังจมูก
มีอาการหูอื้อ ก้อนที่คอ คัดจมูก เลือดกำเดา ปวดศีรษะ หน้าชา มองเห็นภาพซ้อน
7. มะเร็งกล่องเสียง
อาการคือเสียงแหบ เสียงเปลี่ยน กลืนอาหารลำบาก สำลัก เสมหะปนเลือด หายใจลำบาก และมีก้อนที่คอ
8. มะเร็งต่อมธัยรอยด์
อาการคือเนื้องอกต่อมธัยรอยด์หรือคอพอกที่โตขึ้นเร็ว ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกต่อมธัยรอยด์ร่วมกับมีเสียงแหบและกลืนสำลัก มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
9. มะเร็งถุงน้ำดีและท่อน้ำดี
มักมีอาการเหมือนถุงน้ำดีอักเสบ คือ เจ็บปวดชายโครงขวา ถุงน้ำดีโต ท้องอืด ปวดท้อง น้ำหนักลด มีไข้ หรือเป็นดีซ่าน อาการของมะเร็งท่อน้ำดีมักทำให้เกิดอาการของดีซ่าน มีไข้ ปวดท้อง
10. มะเร็งตับอ่อน
จะมีอาการแล้วแต่ตำแหน่งของมะเร็งที่พบว่า อยู่ส่วนใดของตับอ่อน มะเร็งจะพบมากที่ส่วนหัวของตับอ่อน ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการของตัวเหลือง ตาเหลือง จากการ อุดตันของท่อน้ำดีที่ตัวตับอ่อนเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจจะคลำได้ก้อนที่ท้อง ตับโต ถุงน้ำดีโต เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มะเร็งตับอ่อนที่เกิดขึ้นที่ส่วนตัวและส่วนปลายของตับอ่อน จะมีอาการของการปวดท้องรวมกับปวดหลัง น้ำหนักลด ตับโต หรือมีอาการที่เกิดจากมะเร็งกระจายไปยังที่อื่น เช่น ต่อมน้ำเหลือง ไหปลาร้า
11. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
อาการผู้ป่วยในระยะแรกไม่มีอาการใดๆ หรืออาจมีอาการปวดท้องแน่นท้องคล้ายโรคกระเพาะ เมื่อโรคเป็นมากขึ้นอาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเดิน มีลักษณะในการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป อาจมีการอุดตันของลำไส้ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือมูกปนเลือด หรือมีเลือดออกในอุจจาระเป็นเวลานาน ทำให้มีภาวะซีดได้

12. มะเร็งรังไข่
มีอาการท้องอืดเป็นประจำ มีก้อนในท้องน้อย ปวด แน่นท้อง และถ้าก้อนมะเร็งโตมากจะกดกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ส่วนปลาย ทำให้ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระลำบาก ในระยะท้ายๆอาจมีน้ำในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้นกว่าเดิม เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด
13. มะเร็งมดลูก
มีเลือดออกทาง ในสตรีวัยหมดประจำเดือน แล้ว หรือมีเลือดออกผิดปกติในสตรีที่ยังคงมีประจำเดือนอยู่
คลำพบก้อนที่บริเวณท้องน้อย ปวดท้องน้อย ปวดหลัง เนื่องจากมดลูกโตไปกดแผงประสาท
14. มะเร็งกระดูก
มีก้อนแข็งหรือปุ่มยื่นออกมาจากกระดูก ก้อนจะโตเร็ว ต่อมาจะมีอาการปวดร่วมด้วย บางรายมาด้วยอาการ กระดูกหักแตกได้ง่ายจากการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย
15. มะเร็งผิวหนัง
ส่วนใหญ่เริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือเริ่มต้นเป็นแผลเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ขรุขระ อาจมีสีดำที่ขอบๆ และเมื่อเป็นมาก จะเป็นก้อนคล้ายดอกกระหล่ำปลี มะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่มักพบที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว
16. มะเร็งต่อมลูกหมาก
มีอาการปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะเป็นเลือด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และอาจมีอาการปวดหลัง ปวดกระดูกร่วมด้วย
17. มะเร็งเม็ดเลือดขาว
มีอาการเลือดจาง ซีด หน้ามืด เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย เลือดออกง่ายบริเวณผิวหนัง เหงือก เป็นจ้ำตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต อาจพบก้อนในท้องเนื่องจาก ตับ ม้าม โต ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย มีไข้
18. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการคือต่อมน้ำเหลืองโต หรือมีก้อนที่โตเร็วไม่เจ็บบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ มีอาการปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง แผลเรื้อรังที่กระพุ้งแก้ม โพรงจมูก มีไข้สูงไม่ทราบสาเหตุ แต่อาการดังกล่าวส่วนมากไม่พบแต่เฉพาะในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเท่านั้น อาจพบในมะเร็งระบบอื่นได้เช่นกัน
19. มะเร็งและเนื้องอกในระบบประสาท
อาการของเนื้องอกในสมอง คือ ปวดศีรษะ ตามัว อาเจียน เป็นอัมพาตแขน ขา ตาบอด เดินเซ หูหนวก ชักกระตุก ความจำเสื่อม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ก้อนเนื้องอกนั้นเกิดขึ้นที่ใด และกดอวัยวะส่วนใดของสมอง อาการของเนื้องอกในไขสันหลัง คือ ปวดหลัง แขนขาชาและอ่อนแรง เดินเซ เดินไม่ถนัดหรือเป็นอัมพาต การควบคุมการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะลำบาก อาการของเนื้องอกที่ประสาทส่วนปลาย คือ คลำพบก้อนหรือรู้สึกชา หรือร่วมกับอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อาการต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจเกิดจากสาเหตุหรือโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่เนื้องอกก็ได้ จึงควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดต่อไป
20. มะเร็งทางเดินปัสสาวะ
และอวัยวะสืบพันธุ์ชาย
มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ลิ่มเลือด พบในมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและมะร็งของไต อาการปัสสาวะขัด ต้องเบ่ง หรือปัสสาวะออกกะปริบกะปรอย พบในมะเร็งของต่อมลูกหมาก มีแผลเรื้อรังชนิดเลือดออกง่ายและกลิ่นเหม็น หนังหุ้มอวัยวะเพศหรือหนังหุ้มลึงค์ไม่เปิด และมีอาการคันภายในหรือมีเม็ดที่คลำได้
บริเวณที่มีการเสียดสี มีการอักเสบไม่หาย เช่น มะเร็งถุงอัณฑะ มีก้อนคลำได้ชัดเจนบริเวณสีข้าง (บริเวณไต) หรือบริเวณ ท้องน้อยเหนือ หัวเหน่า (บริเวณกระเพาะปัสสาวะ) มีก้อนและคลำได้ที่ลูกอัณฑะ กดไม่เจ็บ และก้อนโตเร็ว ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบหรือซอกคอโต พบในรายที่มะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผอมลง ไอ ปวดกระดูก พบในระยะที่มีการกระจายของมะเร็งไปแล้ว
• การรักษา
การตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ย่อมเป็นผลดีต่อการรักษา ซึ่งวิธีการรักษานั้นมีดังนี้
1. การผ่าตัด เป็นการเอาก้อน ที่เป็นมะเร็งออกไป
2. รังสีรักษา เป็นการให้รังสีกำลังสูง เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
3. เคมีบำบัด เป็นการให้ยา (สารเคมี) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
4. ฮอร์โมนบำบัด เป็นการใช้ฮอร์โมนเพื่อหยุดการเจริญเติบโต ของเซลล์มะเร็ง
5. การรักษาแบบผสมผสาน เป็นการรักษาร่วมกันหลายวิธี ดังกล่าวข้างต้น แต่จะใช้วิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่6 (นอนงีบกี่นาที มีผลต่อสมองอย่างไร)


นอนงีบกี่นาที มีผลต่อสมองอย่างไร

Written by  
นอนงีบกี่นาที มีผลต่อสมองอย่างไร
รู้ไหมว่าการนอนด้วยระยะเวลาที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อสมองต่างกันไปด้วย มาดูกันว่าคุณควรจะนอนนานแค่ไหน กับสถานการณ์ยังไงบ้าง
Sleep Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการพักผ่อนนอนหลับ เปิดเผยว่า ระยะเวลาที่เราหลับ (หรือใช้คำว่างีบ) นั้น จะมีผลกับสมองและร่างกายของคุณแตกต่างกันออกไป ในบางกรณี คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องฝืนตื่น เพราะอาจจะงีบแค่ไม่กี่นาทีก็ได้ หรือในบางกรณี คุณอาจจะต้องการนอนหลับลึก จึงจะเหมาะสมกับกิจกรรมหรือสถานการณ์ตรงหน้า

มาเริ่มที่การงีบ แบบ 10 - 20 นาที หรือที่เรียกว่า Power nap จะเหมาะสำหรับการสร้างควาสดชื่นและเพิ่มพลังงานในกรณ๊ที่คุณกำลังทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากกว่าใช้สมองจดจำ เช่นการงีบรอเวลาไปเที่ยว หรือการนอนรอแฟนกลับบ้าน. ระยะเวลา 10 - 20 นาทีหรือ Power nap นั้นจะทำให้คุณหลับอยู่ในขั้นเบาสุดของ non-rapid eye movement (NREM) เหมือนการกดปุ่ม Pause ขณะเล่นเกมส์ ทำให้คุณสามารถตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมนั้นๆต่อได้ในทันที 

30 นาที เป็นระยะเวลาที่ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผลการวิจัยบอกว่าการนอนด้วยเวลาเท่านี้ จะทำให้คุณมีอาการง่วงซึม ปวดหัว เหมือนคน hang ตื่นนอน รู้สึกมึนๆ งงๆ และลุกขึ้นยาก กว่าคุณจะรู้สึกหายง่วงจากการนอน ลองนึกภาพตอนคุณหลับบนรถตู้ หรือรถเมล์ แล้วตื่นตอนถึงที่หมายซิครับ 

60 นาที เป็นการนอนที่จะส่งผลดีต่อความจำหลังจากตื่นขึ้นมา จะช่วยให้สมองคุณปลอดโปร่งในระดับนึง ทำให้สามารถจดจำข้อมูลต่างๆได้ดีขึ้น การนอนด้วยเวลาเท่านี้จะทำให้สมองอยู่ในขั้น slow-wave sleep คือหลับลึกในระดับนึงนั่นเอง แต่ข้อเสียก็คือการนอนด้วยเวลาเท่านี้ จะทำให้คุณงัวเงียมาก และตื่นยากพอสมควร เหมาะสำหรับพักผ่อนในขณะที่คุณโหมงานหนักอะไรซักอย่างอยู่ เช่นทำงานส่งลูกค้าแบบหามรุ่งหามค่ำ การอ่านหนังสือสอบข้ามคืน

90 นาที เป็นระยะเวลาการนอนที่สมองจะได้พักผ่อนอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด และมีการเข้าสู่ขั้นตอนของการฝัน ช่วยให้สมองได้พักเต็มที่ และหลังจากตื่นจะมีอารมณ์ดีขึ้น มีความจำที่แม่นยำขึ้น และจินตนาการสร้างสรรค์ทำงานได้เต็มที่ ความสดชื่นจากการนอนด้วยระยะเวลาเท่านี้ จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกงัวเงีย เหงาหงอยครับ


- See more at: http://unlockmen.com/health/item/217-nap-for-brain-benefits.html#sthash.uCixwgL3.dpuf