สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่24 (โรคลมแดด(Heat Stroke))


โรคลมแดด(Heat Stroke)



สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่23 (ล้างผักผลไม้อย่างไร ให้ปลอดภัยจากสารพิษ)


ล้างผักผลไม้อย่างไร ให้ปลอดภัยจากสารพิษ
ตั้งแต่ได้ยินข่าวว่ามีสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ ก็แอบเกิดอาการหวั่นๆ ไปเลยค่ะ ว่ากลัวจะไปซื้อหรือรับประทานผักผลไม้ที่มีสารปนเปื้อนมาไหม แต่ถ้าจะให้กลัวจนระแวงจนถึงขั้นไม่ซื้อมากินเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะเราๆ ก็ยังคงต้องทานอาหารให้ครบห้าหมู่กันอยู่ ดังนั้นเราเลยไปเสาะหาวิธีการเลือกผักผลไม้และวิธีการทำความสะอาดผักผลไม้ ให้สะอาดมาฝากกันค่ะ

ล้างผักผลไม้อย่างไร ให้ปลอดภัย หายห่วง

ผักชนิดต่าง ๆ ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะอุดมไปด้วยเกลือแร่   รวมทั้งช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด   และที่สำคัญคือสามารถช่วยลดปัญหาท้องผูกอันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ด้วย    อย่างไรก็ตามแม้ผักจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากแค่ไหนแต่ก็มีอันตรายซ่อนอยู่ด้วยนั่นคือสารพิษตกค้างจากปุ๋ยและยาฆ่าแมลงที่ติดมากับผักซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้    จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะผักที่มีการสะสมสารพิษไว้มาก    เช่น    ผักกาดขาว    กะหล่ำปลี    คะน้า    ต้นหอม
การเลือกซื้อผักมาบริโภคควรเลือกผักที่มีแมลงรบกวนหรือใช้สารเคมีน้อยที่สุด เพราะสารพิษที่เราได้รับเข้าสู่ร่างกายแม้จะในปริมาณน้อยแต่ถ้าได้รับบ่อยครั้งเป็นเวลานานก็สามารถเกิดการสะสมเพิ่มปริมาณมากขึ้น    จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็งลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้    เช่น    มะเร็งตับและมะเร็งลำไส้    เป็นต้น
การล้างผักจึงเป็นสิ่งสำคัญ    ควรล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ครั้ง   ผักที่มีหนอนเจาะอยู่ควรแช่ด้วยน้ำเกลือทิ้งไว้สักพักหนอนและแมลงจะลอยขึ้นมา  แล้วจึงนำไปล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง   หรือหากมีดินติดมาควรแช่น้ำไว้สักครู่เพื่อให้ดินอ่อนตัวลงจะช่วยให้ล้างดินออกได้ง่ายขึ้น    เคล็ดลับการเลือกซื้อผักปลอดสารพิษควรเลือกดูผักที่มีรอยหนอนหรือแมลงกัดแทะเล็กน้อย

การล้างผักช่วยลดสารพิษ    มีวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ดังนี้          
1.  ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต(ผงฟู) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง(20 ลิตร)    แช่นาน 15 นาทีแล้วนำไปล้างน้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง    จะสามารถลดสารพิษได้ 90 – 95 %
2.  ใช้น้ำส้มสายชู(5%) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 1 กะละมัง    แช่นาน 10 – 15 นาที     จะสามารถลดสารพิษได้ 60 – 84 %
3.  ล้างผักโดยให้น้ำไหลผ่าน  ใช้มือช่วยคลี่ใบผักนาน 2 นาที   จะสามารถลดสารพิษได้ 54 – 63 %
4.  ลอกหรือปอกเปลือกชั้นนอกของผักออกทิ้ง   เด็ดผักเป็นใบ ๆ แล้วแช่น้ำสะอาดนาน 10 – 15 นาที    จะสามารถลดสารพิษได้ 27 – 72 %
5.  ต้มหรือลวกผักด้วยน้ำร้อน    จะสามารถลดสารพิษได้ 48 – 50 %
6. ใช้ด่างทับทิม 20 – 30 เกล็ดผสมน้ำ 1 กะละมัง   แช่นาน 10 นาที   แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง    จะสามารถลดสารพิษได้ 35 – 43 %
7. ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 1 กะละมัง    แช่นาน 10 นาที   แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง    จะสามารถลดสารพิษได้ 29 – 38 %
เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัวจึงควรใช้เวลาในขั้นตอนของการล้างผักเพิ่มขึ้น  ซึ่งนอกจากเราจะได้รับประโยชน์จากผัก  ผลไม้อย่างเต็มที่แล้ว    ยังช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้างที่มีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : กลุ่มงานสุขศึกษา โรงพยาบาลลำปาง
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่22 (ข้อน่ารู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน)


    ข้อน่ารู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน (ลมตะกัง) (หมอชาวบ้าน)




              อาการปวดหัวนั้นมีหลากหลาย บ้างก็ปวดหัวตรงกลาง บ้างก็ปวดตรงขมับ มึน งง เวียนศีรษะ หรือแม้กระทั่งปวดหัวข้างเดียวอย่างที่รู้จักในชื่อ "ไมเกรน" หรือ ลมตะกัง ซึ่งหลาย ๆ คนมีอาการเช่นนี้อยู่ จึงรู้ดีว่ามันทุกข์ทรมานมากขนาดนี้ นิตยสารหมอชาวบ้าน มีข้อเท็จจริงน่ารู้เกี่ยวกับโรคไมเกรนมาบอกกัน

    1. สาเหตุ 

              สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด ทราบว่าไม่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางกาย (รวมทั้งสมอง) แต่ทุกครั้งที่กำเริบ จะมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและกลไกทางประสาทภายในสมองและบริเวณใบหน้า กล่าวคือ หลอดเลือดภายในกะโหลกศีรษะหดตัว ในขณะที่หลอดเลือดภายนอกกะโหลกศีรษะ (เช่น ที่ขมับ) พองตัว และประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นให้เกิดการเจ็บปวด ทำให้มีอาการปวดศีรษะที่มีลักษณะจำเพาะและอาการต่าง ๆ ร่วมด้วย

              โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นไมเกรนด้วย

     2. สาเหตุกระตุ้น (เหตุกำเริบ / สิ่งกระตุ้น)

              โรคนี้มักมีอาการปวดศีรษะกำเริบเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่กำเริบ มักจะมีสาเหตุกระตุ้นล่วงหน้า เป็นชั่วโมงถึง 2วันเสมอ ผู้ป่วยควรสังเกตว่ามีอะไรเป็นเหตุกำเริบ หรือสิ่งกระตุ้นบ้าง (มักมีได้มากกว่า 1 อย่าง) เช่น

               ทางตา : แสงแดด แสงจ้า แสงระยิบระยับ การใช้สายตาเคร่งเครียดหรือลายตา (เช่น จ้องจอ คอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือนาน ๆ)

               ทางหู : เสียงดัง เสียงจอแจ

               ทางจมูก : กลิ่นต่าง ๆ รวมทั้งกลิ่นน้ำหอม ควันบุหรี่

               ทางลิ้น : อาหาร (เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล หมูแฮม ไส้กรอก ถั่ว กล้วยหอม ช็อกโกแลต ผงชูรส น้ำตาลเทียม-แอสพาร์เทม (aspartame) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มกาแฟมาก เป็นต้น) ยาเม็ดคุมกำเนิด ยานอนหลับ

               ทางกาย (กายภาพ) : อากาศร้อนจัด เย็นจัด อบอ้าว หิวจัด อิ่มจัด อดนอน นอนมาก (ตื่นสาย) ร่างกายเหนื่อยล้า ประจำเดือนมา มีไข้สูง มีอาการเจ็บปวดที่ต่าง ๆ (เช่น ปวดประจำเดือน ปวดฟัน)

               ทางใจ : เครียด กังวล คิดมาก ซึมเศร้า

     3. อาการที่โดดเด่น 

              คือ มีอาการปวดตุบ ๆ (ตามจังหวะชีพจร) ที่ขมับข้างเดียว (พบได้ร้อยละ 70-80) หรือ 2 ข้าง (พบได้ร้อยละ 20-30) แต่ละครั้งจะปวดติดต่อกันนาน 4-72 ชั่วโมง (ในกรณีที่ปวดข้ามคืน ช่วงนอนหลับจะทุเลาชั่วคราว พอตื่นนอนก็จะปวดต่อ) แม้ไม่ได้กินยา เมื่อปวดถึงจังหวะหนึ่งก็จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง แต่ถ้ารีบกินยาแก้ปวดเมื่อเริ่มมีอาการกำเริบ ก็จะช่วยให้ทุเลาได้เร็ว

              ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้ร่วมกับปวดศีรษะ และมักจะปวดแรงขึ้นเมื่อสัมผัสสิ่งกระตุ้น เช่น ได้ยินเสียงดัง เห็นแสงจ้า ฝืนทำงาน เคลื่อนไหวร่างกาย หรือขึ้นลงบันได ผู้ป่วยมักจะหยุดพักและหลบเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าว เช่น นั่งหรือนอนพักในห้องที่อากาศสบาย ๆ สลัว ๆ เงียบ ๆ ถ้าได้หลับสักตื่นอาการปวดมักจะทุเลา

              ขณะปวดเต็มที่ มักคลำได้หลอดเลือดที่ขมับข้างที่ปวดพองตัว บางครั้งหลังปวดเต็มที่แล้ว อาจมีอาการอาเจียน แล้วการปวดก็จะค่อยทุเลาไป

              บางราย ก่อนปวดอาจมีอาการเตือนก่อนปวด คือ มีอาการทางสายตา (aura) เช่น ตาพร่า ตาลาย เห็นแสงสีรุ้ง เห็นดวงขาว ๆ หรือมองเห็นภาพที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติประมาณ 15-30 นาที นำร่องมาก่อน และจะหายไปเมื่อเริ่มเกิดอาการปวดศีรษะ

    อาการปวดหัว

     4. การดำเนินของโรค 

              มักมีอาการครั้งแรกตอนวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว (ในวัยเด็กเล็ก อาจมีอาการเมารถ เมาเรือง่าย มาก่อน) อาการปวดมักกำเริบเป็นครั้งคราวเมื่อถูกเหตุกำเริบหรือสิ่งกระตุ้น อาจเดือนละครั้งหรือหลายครั้ง หรือนาน ๆ ที ส่วนใหญ่มักมีโอกาสกำเริบไปตลอดชีวิต บางรายอาจหายขาด เมื่อพ้นวัย 55 ปีไปแล้ว

              ผู้ที่มีอาการกำเริบบ่อยมาก (เช่น ปวดแทบทุกวัน) อาจมีโรคซึมเศร้า หรือโรควิตกกังวลร่วมด้วย

     5. อันตรายของโรค

              โดยทั่วไป ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายใด ๆ ยกเว้น หญิงที่เป็นไมเกรนแบบมีอาการเตือน คือ มีอาการสายตา (aura) นำร่องก่อนปวด หากสูบบุหรี่ หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิด ก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (อัมพาตครึ่งซีก) ได้มากกว่าคนทั่วไป

     6. การรักษา

               1. รีบกินยาบรรเทาปวด (เช่น พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด) ทันทีที่เริ่มมีอาการ อย่ารอให้ปวดนานเกิน 30 นาที จะได้ผลน้อย ผู้ป่วยจำเป็นต้องพกยาแก้ปวดติดตัว จะได้กินทันทีที่เริ่มมีอาการ

               2. หาทางนอนพัก หรือนั่งพัก

               3. หลีกเลี่ยงที่ที่อบอ้าว มีแสงจ้าหรือเสียงดัง หยุดการเคลื่อนไหวร่างกาย และการเดินขึ้นลงบันได

              ถ้าคลื่นไส้มาก ให้กินยาแก้คลื่นไส้อาเจียน (ตามคำแนะนำของหมอ) ควบไปด้วย ในกรณีที่ใช้พาราเซตามอลไม่ได้ผล (พบได้ประมาณร้อยละ 20-30) แพทย์อาจให้ยาบรรเทาชนิดอื่น เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ทามาดอล (tamadol) เออร์โกทามีน (ergotamine) ชูมาทริปแทน (sumatriptan) เป็นต้น ซึ่งควรกินเป็นครั้งคราวเฉพาะเวลาปวด



     7. การป้องกัน 

              ควรสังเกตว่ามีอะไรเป็นเหตุกำเริบหรือสิ่งกระตุ้น (มักมีมากกว่า 1 อย่าง) แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเสีย

              ถ้าเป็นบ่อยหรือรุนแรงจนเสียงาน แพทย์จะให้ยากินป้องกันนาน ครั้งละ 3-6 เดือน ยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน (amitriptyline) นอร์ทริปไทลีน (nortriptyline) โพรพราโนลอล (propranolol) อะทิโนลอล (atenolol) โทพิราเมต (topiramate) ยาเหล่านี้อาจมีข้อระวังในการใช้ จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาสั่งใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วย แต่ละรายที่อาจมีภาวะสุขภาพหรือมีการใช้ยาอื่น ๆ อยู่ก่อน ซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้

    ตัวอย่างโรคที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง หรือปวดมากคล้ายไมเกรน

               1. ปวดศีรษะจากความเครียด (tension headache) เกิดจากมีจิตใจเครียด วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับ กล้ามเนื้อ รอบศีรษะ หรือบริเวณท้ายทอยตึงตัว (เกร็งแข็ง) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหนัก ๆ มึน ๆ บริเวณรอบศีรษะหรือท้ายทอยติดต่อกันนานเป็นชั่วโมง ๆ เป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ โดยปวดพอทนอย่างคงที่ต่อเนื่อง และยังทำกิจวัตรประจำวันได้ จะทุเลาเมื่อหายเครียดหรือได้ยาบรรเทา (ไม่ปวดแรงขึ้น ๆ จนต้องหยุดงานไม่ปวดตุบ หรือปวดขมับข้างเดียว หรือคลื่นไส้แบบที่พบในไมเกรน)

               2. เนื้องอกสมอง (brain tumor) พบได้ในคนทุกวัย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหน่วง ๆ ตึง ๆ ทั่วศีรษะตอนเช้ามืด (ขณะกำลังตื่นนอน) พอตกสาย ไปทำงานหรือเรียนหนังสือก็หายไปเอง เป็นแบบนี้อยู่ทุกเช้า นานเป็นสัปดาห์ ๆ ซึ่งจะปวดนานและแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ต่อมาอาจกลายเป็นปวดแทบทั้งวัน หรือปวดรุนแรง มีอาการอาเจียนบ่อย อาจมีอาการเดินเซ แขนขากระตุกหรืออ่อนแรงตามมาในที่สุด (ไม่มีอาการปวดตุบ ๆ หรือปวดขมับข้างเดียวเป็นครั้งคราวแบบไมเกรน)

                3. หลอดเลือดสมองแตก (cerebral hemorrhage) บางคนอาจมีหลอดเลือดที่ผิดปกติมาแต่กำเนิด ซึ่งมีลักษณะเปราะบางแตกง่ายกว่าปกติ เมื่อโตขึ้นย่างเข้าวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว หรือวัยกลางคนก็ถึงจังหวะแตก เริ่มแรกผังหลอดเลือดปริ มีเลือดซึมออกเล็กน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะฉับพลันและรุนแรงต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ กินยาแก้ปวดไม่ทุเลา แต่ยังรู้สึกตัวดี ต่อมาก็จะแตก มีเลือดออกมาก ผู้ป่วยจะปวดรุนแรงมาก อาเจียน และหมดสติ หากเป็นตรงส่วนสำคัญ ก็จะเสียชีวิต แต่ถ้าเป็นตรงส่วนไม่สำคัญ แพทย์สามารถช่วยเยียวยาหรือผ่าตัดให้หายหรือรอดชีวิตได้ (ไม่มีอาการปวดตุบ ๆ หรือปวดขมับข้างเดียวเป็นครั้งคราวแบบไมเกรน)

               4. ต้อหินเฉียบพลัน (acute glaucoma) มักพบในวัยกลางคนขึ้นไปที่มีโครงสร้างของลูกตาผิดปกติซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม ช่วงที่มีอาการกำเริบเนื่องเพราะน้ำเลี้ยงภายในลูกตาเกิดการอุดกั้น ทำให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มขึ้นฉับพลัน

              ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ กินยาแก้ปวดไม่บรรเทา ตาข้างที่ปวดมีอาการตาพร่ามัว ตาแดง (มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน แต่ปวดหน่วงอย่างรุนแรงในลูกตามากกว่าปวดตุบที่ขมับ เป็นการปวดครั้งแรกที่พบในคนวัยกลางคนขึ้นไป)


    ขอบคุณสาระดีๆจาก kapook.com

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่21 (ประโยชน์และโทษจากการกินเค็ม)



ประโยชน์และโทษจากการกินเค็ม


รูปประกอบจากอินเตอร์เนท

ประเทศไทยจะชอบอาหารรสจัด รสเค็มก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย รสเค็มจัดนั้นถ้าเรารับประทานไปมากๆ ก็มีผลอันตรายมากเหมือนกัน

โดยไตจะทำงานเกี่ยวข้องกับความเค็มโดยตรง ซึ่งไตจะเป็นอวัยวะสำหรับปรับโซเดียมในร่างกายให้สมดุล ถ้าโซเดียมในร่างกายมากเกินไป ไตก็จขับออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าน้อยเกินไป ไตก็จะดูดโซเดียมกลับไปสู่กระแสเลือดได้ ดังนั้นเมื่อไตทำงานผิดปกติก็จะไม่สามารถขับเกลือออกจากเลือดได้ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นทำงานหนักขึ้น เพราะความดันเลือดสูงขึ้นด้วย และถ้าไม่แก้ไขปล่อยให้ หัวใจทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จะมีผลให้เกิดหัวใจวาย ได้

เกลือในชีวิตประจำวัน
  • ในชีวิตประจำวัน  พบว่ามีการใช้เกลือกันอย่างมากมาย ทั้งในเครื่องดื่ม , ขนม , บะหมี่กึ่งสำเร็จ รูป ฯลฯ 
  • ในการปรุงอาหาร  ต่างๆ มักมีเกลือเป็นส่วนประกอบเสมอ รวมทั้งในเครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ อาจจะเป็นเกลือซ่อนอยู่ เช่น ในผงฟู , ผงชูรส , น้ำปลา , ซีอิ้ว , กะปี , ซอสถั่วเหลืองฯลฯ
  • ใน ผลไม้ ดอง  ต่างๆ เช่น มะม่วงดอง, บ๊วยเค็ม, ผักกาดดอง ฯลฯ
เกลือมากเกิน ก่อโรคร้าย
   แม้รสเค็มจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร แต่ถ้าคุณกินมากเกินไปก็ให้โทษเช่นกัน ที่เห็นชัดก็คือกระหายน้ำ นอกจากนั้นยังมีโรคอันตรายอีกมากมาย
  • ความดันโลหิตสูง การกินเค็มส่งผลให้ปริมาณโซเดียมในเลือดมากขึ้น มีผลให้แรงดันของเหลวสูงขึ้น ร่างกายจึงต้องการปรับสมดุลด้วยการทำให้เจือจางลงโดยการดันน้ำออกจากเซลล์ ทำให้ปริมาณน้ำเลือดมีมากขึ้น เมื่อมีน้ำเลือดมากขึ้นก็ต้องใช้แรงดันเลือดเพิ่มมากขึ้น
  • โรคไต เนื่องจากไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยปรับระดับโซเดียมในร่างกาย โดยปกติเมื่อร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมสูงเกินไป ไตจะทำหน้าที่ขับน้ำและโซเดียมส่วนเกินออกมา แต่เมื่อใดก็ตามที่ไตทำงานผิดปกติ ไตก็จะไม่สามารถขับโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสมได้ สำหรับผู้ที่มีอาการไตวายเรื้อรังอยู่แล้ว และเมื่อร่างกายมีปริมาณโซเดียมสะสมสูง น้ำในร่างกายจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ทำให้เกิดอาการบวมหรือปริมาณของเหลวในร่างกายที่มากเกินไป ส่งผลภาวะน้ำท่วมปอดได้
  • โรคหัวใจ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง หากกินโซเดียมมาก จนทำให้ความดันคุมยาก ผลคือทำให้หัวใจต้องสูบฉีดหนักขึ้น และยังอาจทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย ซึ่งคอยควบคุมการไหลเข้าออกของเลือดหนาขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจตีบได้ รวมไปถึงโรคเส้นเลือดในหัวใจหรือสมองตีบตัน หัวใจวาย อัมพฤกษ์ และอัมพาตได้
  • ภาวะบวม ถ้าร่างกายได้รับเกลือหรือโซเดียมมาก แต่ขับโซเดียมออกมาไม่ได้ดี เช่น กรณีผู้ป่วยโรคไต โรคตับ หรือโรคหัวใจ ในร่างกายก็จะมีน้ำคั่งมาก เพราะเกลือที่คั่งอยู่จะดูดน้ำเข้ามาไว้ในอวัยวะต่างๆ ทำให้ปริมาณน้ำของเนื้อเยื่อภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการบวมขึ้นได้
  • โรคกระดูกพรุน การรับประทานเกลือมากเกินไปเป็นเวลานานๆ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมในกระดูก เนื่องจากขณะที่ร่างกายพยายามขับโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะยังส่งผลให้มีการขับถ่ายแร่ธาตุอื่นๆ รวมทั้งแคลเซียมออกไปด้วย จะเกิดการสูญเสียแบบสะสมเป็นผลทำให้เกิดภาวะกระดูกบางหรือโรคกระดูกพรุน และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุอาจเกิดกระดูกแตกร้าวได้ง่าย
  • โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ อย่างที่เล่าว่าคนที่กินอาหารรสเค็มจัดเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียแคลเซียมในปัสสาวะมากนั้น แคลเซียมดังกล่าวยังอาจสะสมทำให้เกิดเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีก ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของการเกิดโรคนิ่วได้

ความเค็มในชีวิตประจำวัน
   “สำหรับคนไทยแล้ว แหล่งโซเดียมไม่ได้มาจากเกลือบนโต๊ะแบบต่างประเทศเท่านั้น เรายังมีเครื่องปรุงรสเค็มอื่นๆ ที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสหอยนางรม ซอสมะเขือเทศ หรือซอสพริก ตลอดจนเครื่องปรุงรสเค็มตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น กะปิ ปลาร้า น้ำบูดู หรือน้ำปู๋ แถมบางบ้านยังต้องมีน้ำปลาพริกวางไว้เคียงคู่โต๊ะอาหารอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ อาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็มีเกลือโซเดียมเป็นส่วนประกอบ แม้อาหารบางอย่างที่ไม่ได้ออกรสเค็มก็มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบเช่นกัน อาทิ ผงฟู (โซเดียมไบคาร์บอเนต) ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมท) ตลอดจนสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) เป็นต้น”
“เค็ม” เท่าไรถึงพอดี
   “จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและข้อกำหนดสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทย ในฉลากโภชนาการ กำหนดไว้ว่า เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกินกว่า 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือคิดเป็นเกลือวันละ 6 กรัม และเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา อย่างไรก็ตาม ปริมาณโซเดียมที่ร่างกายต้องการจริงๆ นั้นน้อยมากเพียง 500 –1,475 มิลลิกรัมต่อวัน ปกติอาหารประจำวันจะได้รับโซเดียมคลอไรด์พอเพียง ซึ่งเกลือ 1 ช้อนชา จะให้โซเดียมถึง 2,400 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่ร่างกายของเราต้องการหลายเท่า”
   ทางที่ดี สำหรับผู้ที่ไม่อยากเจ็บป่วยหรือเป็นโรคแล้วก็ตาม คือ ต้องหัดกินอาหารรสจืดให้ได้เป็นปกติ และกินอาหารรสจัดให้น้อยลง






ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก
http://www.cheewajit.com/
http://sukkhaphab.blogspot.com/

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่20 (สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด)



สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด


คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่าอาหารเป็นยาที่วิเศษสุด หากได้ทราบว่าอาหารประเภทใดสามารถช่วยล้างพิษได้ คุณอาจจะต้องประหลาดใจ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารโปรดที่เรากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางอย่างก็หาได้ง่าย แถมราคาไม่แพงด้วย อาหารเหล่านี้ช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง
1.กล้วย
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

.2 อัลมอนด์

เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก
3. แอปเปิล
ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้
4. ตำลึง
ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย
5. อะโวคาโด
อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
6. บีตรูต
ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย
7. กะหล่ำเต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย
8. บลูเบอร์รี่
เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
9. กระเทียม
จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย
10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
11. มะเขือพวง
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย
12. แครอต
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น
13. ขึ้นฉ่าย
ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย
14. พืชตระกูลถั่ว
(เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
15. ทับทิม
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้าง พิษลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
16. กระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้
17. เมล็ดแฟลกซ์
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น
18. มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
19. หัวหอม
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่
20. สาหร่าย
เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

ขอบคุณสาระดีๆจาก amulet.in.th

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่19 (7สิ่งไม่ควรทำหลังอาหาร)



7สิ่งไม่ควรทำหลังอาหาร




คนส่วนใหญ่ คิดว่าหลังรับประทาน ควรตบท้ายด้วยของหวานหรือผลไม้ ไปจนถึงการเดินย่อย แต่รู้หรือไม่ว่านั่นเป็นความเข้าใจผิด ไปดูกันว่ามีข้อห้ามหลังรับประทานอาหารอะไรบ้าง
1. อย่าสูบบุหรี่ จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10มวน (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร เพราะมันไปพองในท้องคุณ ให้กินผลไม้ 1หรือ 2ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้วให้เดินสัก 100ก้าวจะทำให้อายุยืน ถึง 99ปี การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดิน ถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร
ที่มา : หนังสือพิมพ์ดิจิตอล Investor Station


สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่18 (สุดยอดผัก ผลไม้บำรุงสายตา)



สุดยอดผัก ผลไม้บำรุงสายตายากให้สายตาดี ใสเป็นประกาย....
มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง?
1.ผักบุ้ง
2.แครอท
3.ตำลึง
4.ผักคะน้า
5.ฝักทอง
6.มะม่วงสุก
7.มะละกอ
ผักบุ้ง ผักบุ้งช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?
 ผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา ไม่ทำให้ปวดตา สายตาสั้น แสบตา  จากผักบุ้ง ก็ต้องกินผักบุ้งดิบ ทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย นอกจากวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด
การรับประทานผักบุ้ง หากผัดควรใส่น้ำมันให้น้อย แต่ถ้าลวดกินก็จะดีกว่าเพราะไม่มีน้ำมันซึ่งจะทำให้อ้วนได้ หากทานดิบก็ยิ่งจะมีประโยชน์มาก ทานกับขนมจีนอร่อยอย่างบอกใครเชียวครับ

แครอท : แครอทช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?
แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้ม นอกจากนี้มันก็ยังมีไวตามินและแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแครอทีนก็คือ ไวตามินเอ ซึ่งช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาเพราะมันมีผลต่อปฏิกริยาเคมีของดวงตาต่อแสง ไวตามินเอยังช่วยให้มีผิวที่ดีอีกด้วย และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆเช่นมะเร็งได้ดี
ที่มา:www.carrotmuseum.co.uk/nutrition.html

ตำลึง : ตำลึงช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?
ตำลึงเป็นผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มีหัวใต้ดิน มีคุณค่าทางอาหารสูง ตำลึงเป็นพืชที่มีบีตาแคโรทีนที่ดีที่สุด บีตาแคโรทีนเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อ บีตาแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด ดังนั้น ที่กล่าวกันว่า "ตำลึงบำรุงสายตา" ก็เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง บีตาแคโรทีนเป็นสารต้านออกซิเดชันลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ยับยั้งการทำลายของออกซิเจนเดี่ยวและอนุมูลเปอรอกซิลอิสระ นอกจากนั้นตำลึงยังสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้

ผักคะน้า : ผักคะน้าช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?
คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างการจะเปล่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ

ฝักทอง : ฝักทองช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?
ฝักทอง มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ระบบย่อยอาหาร บำรุงตับไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว มีสารลูทีนป้องกันการเสื่อมของจุดหรือแสงสีของเรตินามีวิตามินเอ
บำรุงสายตามีเบตาแคโรทีนซึ่งมีสาร Antioxidant สูงจึงช่วยต้านมะเร็งได้อีกด้วย
มะม่วงสุก : มะม่วงสุกช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?
เนื่องจากมะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร ช่วยบำรุงสายตา บำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างดี
มะละกอ : มะละกอสุกช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?
มะละกอ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ รับประทานบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตา รับประทานเป็นผลไม้

ทิปส์ในการดูแลรักษาตา
1.ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดๆทุกๆวันตอนเช้า หรือเวลาอื่นๆเช่นตอนเที่ยงหรือบ่ายด้วยเพื่อให้น้ำไปหล่อเลี้ยงตาทำให้ตาไม่แห้ง
2.ห้ามอ่านหนังสือที่แสงสว่างไม่เพียงพอหรือมั่วๆ
3.การมองวัตถุใกล้ๆก่อน แล้วมองวัตถุไกลอีกครั้งจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขี้น
4.เมื่อมีเวลาว่างควรออกำลังกายโดยการกระพริบตาไปมาอย่างล่ะสัก 5 วินาที โดยการมองขี้น-ลง การมองซ้าย-ขวา การกลิ้งลูกตาให้เป็นวงกลม
5.การเข้านอนแต่หัวค่ำช่วยให้ลูกตาได้พักผ่อนอีกด้วย
6.การดื่มน้ำมากๆช่วยให้ลูกตาสดชื่นดี และช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงให้ตา
7.คนที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้สายตามากๆ ควรออกมาเดินบางสักเล็กน้อยเพื่อให้สายตาได้พักผ่อนแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อได้ครับ

สุขภาพแข็งแรงกับ HOME SAFE ตอนที่17 (สีแอปเปิ้ลกับสรรพคุณและประโยชน์ของแอปเปิ้ล 19 ข้อ )




แอปเปิ้ล จัดว่าเป็นผลไม้แห่งความรักและความสวยงาม ซึ่งเป็นผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนซึ่งเป็นตัวแทนแห่งบาป ซึ่งอาดัมและอีฟฝ่าฝืนกฎด้วยการกินแอปเปิ้ล อีฟจึงถูกสาปให้คลอดลูกด้วยความเจ็บปวด ส่วนอาดัมต้องทำงานหาเลี้ยงท้องอย่างเหน็ดเหนื่อย ซึ่งคำสาปนี้ก็ได้ตกทอดมาถึงเราคนรุ่นปัจจุบัน
แอปเปิ้ล (Apple) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Malus Domestica มีถิ่นกำเนิดในประเทศอิหร่าน ปัจจุบันได้แพร่ขยายไปทั่วทวีปยุโรป และอเมริกา แอปเปิ้ลจึงจัดได้ว่าเป็นผลไม้เมืองหนาวที่นิยมรับประทานกันมากชนิดหนึ่ง สำหรับประเทศไทยก็มีปลูกเหมือนกันแถวๆภาคเหนือ เช่น ดอยอ่างขาง โดยแอปเปิ้ลนั้นมักนิยมใช้รับประทานเป็นผลไม้สด และอาจใช้ปรุงอาหารได้ด้วย เช่น สลัด แยม พาย ซอสแอปเปิ้ลก็มีนะ แต่ถ้าเป็นของไทยเราที่เห็นๆกันก็ใช้ใส่น้ำยำ น้ำพริก เป็นต้น
โดยคุณค่าทางโภชนาของแอปเปิ้ลต่อน้ำหนัก 100 กรัม จะให้พลังงาน 52 kcal และ 220 kJ และยังประกอบไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก และยังประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน อีกด้วย เห็นไหมละว่าคุณประโยชน์เต็มๆ สำหรับพันธุ์แอปเปิ้ลคาดกันว่าทั่วโลกจะมีอยู่ประมาณ 4,000-5,000 ชิด โดยประโยชน์ของแอปเปิ้ลแต่ละสายพันธุ์จะโดดเด่นแตกต่างกันไปตามสีของแอปเปิ้ล คือ
แอปเปิ้ลสีแดง ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย
แอปเปิ้ลสีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ลสีเขียวมีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ลสีเหลือง มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

  1. แอปเปิ้ลมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยในการชะลอวัย
  2. แอปเปิ้ลเหมาะกับการเป็นอาหารที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ช่วยลดความอาหารลง แม้แอปเปิ้ลจะมีน้ำตาลแต่ร่างกายก็สามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ภายในสิบนาที
  3. ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด หากรับประทานเป็นประจำวันละ 2-3 ผล
  4. เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด เพราะแอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำในปริมาณสูงที่จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย
  5. เป็นอาหารที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรดไขข้อรูมาติก โรคเกาต์ ดีซ่าน
  6. แอปเปิ้ลก็มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดฝ้าได้เหมือนกันนะ
  7. ช่วยในการลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  8. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้
  9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้โดยตรง
  10. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
  11. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  12. ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง
  13. ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก
  14. ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
  15. ช่วยลดไข้ และช่วยลดการอักเสบ
  16. ช่วยละลายเสมหะ
  17. ช่วยลดความดันโลหิต
  18. ช่วยบำรุงหัวใจ
  19. แอปเปิ้ลไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในเนื้อเท่านั้น สำหรับเปลือกก็จัดว่ามีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว สำหรับใครที่ไม่ชอบรับประทานเปลือก ขอให้รู้ไว้ว่าว่าเปลือกก็มีความสำคัญไม่แพ้เนื้อเลยทีเดียว เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายของเรา มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ และที่สำคัญยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย ซึ่งก็ตรงกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุเอาไว้ว่าแอปเปิ้ลนั้นเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ “การรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูกจะป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้โดยตรง” แต่ทั้งนี้เวลากินก็ควรจะล้างน้ำให้ สะอาดด้วย (ไม่ต้องปอกเปลือกนะ ขนาดอาดัมกับอีฟยังหม่ำทั้งลูก)

คุณค่าทางโภชนาการของแอปเปิ้ล ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 52 กิโลแคลอรี่
  • คาร์โบไฮเดรต 13.81 กรัม
  • น้ำตาล 10.39 กรัม
  • เส้นใย 2.4 กรัม
  • ไขมัน 0.17 กรัม
  • โปรตีน 0.26 กรัม
  • น้ำ 85.56 กรัม
  • วิตามินเอ 3 ไมโครกรัม 0%
  • เบต้าแคโรทีน 27 ไมโครกรัม 0%
  • ลูทีน และ ซีแซนทีน 29 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี1 0.017 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินบี2 0.026 มิลลิกรัม 2%แอปเปิ้ล
  • วิตามินบี3 0.091 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินบี5 0.061 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินบี6 0.041 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี9 3 ไมโครกรัม 1%
  • วิตามินซี 4.6 มิลลิกรัม 6%
  • วิตามินอี 0.18 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินเค 2.2 ไมโครกรัม 2%
  • ธาตุแคลเซียม 6 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุเหล็ก 0.12 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุแมกนีเซียม 5 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุแมงกานีส 0.035 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุโพแทสเซียม 107 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุสังกะสี 0.04 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุฟลูออไรด์ 3.3 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
นี้เป็นเพียงประโยชน์ของแอปเปิ้ลอย่างคร่าวๆ เท่านั้น เพราะในแอปเปิ้ลมีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีประโยชน์อยู่มากมายหลายประการ ถ้า จะเอามาเขียนให้หมดคงต้องอ่านกันยาวแน่ แนะนำว่าให้คลิ๊กลิ้งค์ของวิตามินแต่ละตัวที่คุณผู้อ่านสนใจแล้วเข้าไปดูประโยชน์กันเต็มๆได้เลยจ้า บทความต่อไปพบกับ แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำส้มสายชูที่เกิดจากการหมักแอปเปิ้ลสด มาติดตามกันไว้จะมีคุณประโยชน์อย่างไร ครั้งหน้าจ้าา






แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), USDA Nutrient database
เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์.com (ไม่อนุญาติให้คัดลอกเนื้อหาไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด) 
ที่มาข้อมูล postjung.com
ที่มารูปภาพ dek-d.com